2015-10-31

Chapter 1: ทุนนี้ท่านได้แต่ใดมา (2)


สวีดัด สวัสดีค่ะ ทุกคน :) ไอซ์เองค่ะ (จะมีใครจำได้อยู่มั้ย 555555)


ไม่ได้มาเขียนบล็อกนานมากตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา... (ต้องขอโทษจากใจจริงฝุดๆ /โค้ง) เพราะหลังจากที่เขียนบล็อกคราวนั้นไป กลับญี่ปุ่นก็ยุ่งเรื่องเรียน เรื่องนู่นนี่เต็มไปหมด กลายเป็นว่าไม่มีเวลาที่จะเขียนเลยจริงๆ


หลังจากที่เขียนบล็อกตอนแรกไปก็มีคนส่งเมลเข้ามาสอบถามบ้าง ต้องขอบคุณจริงๆ ค่ะที่มีน้องๆ สนใจเกี่ยวกับมหาวิทยาลัยนี้ รวมถึงการเรียนต่อนอกกันมากขึ้น XD


ก็... อย่างที่เคยเกริ่นไว้ตอนท้ายบทความก่อนหน้านี้ว่า ต่อไปจะมาพูดถึงว่า ทำไมไอซ์ถึงมาสมัครทุนของ APU ทำไมถึงอยากเรียนที่ญี่ปุ่น ฯลฯ


เริ่มเลยดีกว่า... (คำเตือน: ยาวปานกลางถึงมากสุดๆ)


ค่ะ... เรื่องทุกอย่างเริ่มขึ้นหลังจากที่กลับมาจากไปแลกเปลี่ยนมา (เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนโครงการ AFS ประเทศเดนมาร์กค่ะ) คือ เราไปแลกเปลี่ยนตอนม.5 แล้วกลับมาเรียนต่อม.6 และด้วยความที่ว่า เด็กนักเรียนเมื่อขึ้นม.6 ก็ต้องมานั่งคิด (หรือคิดมานานแล้ว) ว่า จะเรียนต่อมหาวิทยาลัยไหนดี ต้องสอบอะไรบ้าง บลาๆ เรียนพิเศษกันหัวฟูแหลกลานสุดๆ ซึ่งเราก็เป็นจำพวกที่กล่าวมาทั้งหมดเลย 555555 ในตอนนั้น ใจเราอยากเรียนคณะอักษรศาสตร์มากๆ เพราะเพิ่งกลับมาจากแลกเปลี่ยนด้วยแหละ มันเลยทำให้ความอยากรู้ภาษาเพิ่มขึ้นไปอีก ก็ไปคุยกับพ่อแม่ดู


ปรากฏว่า พ่อแม่ไม่อนุมัติให้เรียนค่ะ เซ็งมาก...โดยเหตุผลก็เหมือนที่หลายคนโดนเมื่ออยากเรียนคณะที่อยากเรียนว่า


'เรียนคณะนี้ โตไปแล้วจะไปทำงานอะไร?'


พอโดนบ่นมากๆ ก็ โอเค ไม่เรียนก็ได้วะ 5555 ในใจพ่อแม่อยากให้เราเรียนบัญชี ไม่ก็เศรษฐศาสตร์ พวก ฺBBA EBA อะไรอย่างงี้ ส่วนมหาวิทยาลัยอะไรนั้น...ก็ไม่ได้ที่ไหนไกลเลย จุฬาฯกับธรรมศาสตร์ เราก็ เออออน่ะ  เรียนไปก็มีงานทำแค่นี้ก็พอ จากนั้นเราก็เตรียมตัวอ่านหนังสือเตรียมสอบเลยค่ะ ก็อย่างที่ทุกคนรู้ว่า เดี๋ยวนี้เด็กนักเรียนเริ่มสนใจเรียนคณะพวกนี้กันมากขึ้น การแข่งขันเลยสูงมากๆ ไอ้เราที่เพิ่งกลับมาจากแลกเปลี่ยนก็งอกง่อยสุดๆ ความรู้อะไรก็ไม่ค่อยจะมีเลยต้องฟิตหน่อย ทั้ง CU-TEP CU-AAT และอีกมากมาย แม่ก็ส่งให้ไปเรียนพิเศษตอนเย็นเพิ่มอีกเพื่อเอาไว้ใช้สอบ ซึ่งเราเนี่ย ชีวิตการเป็นนักเรียนของเรา ไม่ค่อยได้เรียนพิเศษเลย ส่วนใหญ่ถ้าเรียนก็จะเรียนพวกภาษาเพิ่มเติมมากกว่า วิชาการไม่ค่อยได้เรียน


แต่... เรื่องมันไม่ได้จบแค่นั้นนี่สิ ปีนั้น (2013/2556) ธรรมศาสตร์เปิดสอนคณะนิติฯ ภาคอินเตอร์เป็นปีแรก! แม่เราก็แบบชวนให้เราไปลองสอบ... ซึ่งตัวเราเองเนี่ย ไม่ได้อยากเรียนนิติเลยค่ะ บอกตรงๆว่าไม่ชอบเลย เราก็บอกพ่อกับแม่ว่า ไอซ์ไม่ได้อยากเรียนนิตินะ จะให้สอบทำไม เถียงกันไปเถียงกันมา(ด้วยน้ำตา) สุดท้าย...ก็ต้องไปสอบอยู่ดี (ชีวิตเศร้าจริงจัง) หลังจากยอมแพ้เรียบร้อย เราก็บอกแม่ว่าจะไปสอบให้ แต่ก็บอกอีก ถ้าไม่ติดก็อย่าว่า เพราะไม่ได้อยากเรียนคณะนี้อยู่แล้ว


(บทสนทนาระหว่างแม่และไอซ์)


ไอซ์: แม่ ไอซ์ไม่ได้อยากเรียนคณะนี้นะ เคยบอกไปแล้วหลายรอบ

แม่: เอาน่ะ ลองไปสอบดู เผื่อได้ เปิดปีแรกด้วยนะ เรียนภาษาอังกฤษนี่ไง ชอบภาษาไม่ใช่หรอ?

ไอซ์: (คิดหนัก.. ชอบภาษาแต่ไม่ได้ชอบกฎหมายนี่หว่า) แต่...

แม่: *พูดโยงเหตุผลร้อยแปดพันเก้าเพื่อให้ไปสอบ*

ไอซ์: (ขี้เกียจจะเถียง) ก็ได้ แต่ไม่ติดอย่าว่าละกัน

แม่: รู้แล้วๆ


หลังจากนั้นไม่นานก็ประกาศผลสอบข้อเขียนมา แต่เราก็ไม่ติด เราก็รู้อยู่แล้วแหละว่ายังไงก็ไม่ได้หรอก ไม่ได้มีหัวด้านกฎหมาย แต่เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิด คือ เราโดนพ่อด่าว่า ทำไมไม่ตั้งใจสอบให้ติด ตอนนั้นเราแบบ... เอ้า ก็บอกไปแล้วว่าไม่ได้อยากเรียน จะคาดคั้นอะไรกันอีก ซึ่งก็จบเรื่องด้วยน้ำตากันอีกหน 555555 แล้วยังไม่ทันไรก็มีสอบ CU-TEP/AAT แล้ว ชีวิตตอนนั้นคือแบบ มายก้อชมากจริงๆ ทั้งการบ้าน สอบที่โรงเรียน กิจกรรมโรงเรียน เรียนพิเศษ อะไรก็ไม่รู้ ชีวิตหัวหมุนและมรสุมชีวิตสุดๆ


และในช่วงระยะเวลาการสอบนี่แหละ ทำให้เราได้รู้จัก APU ด้วยเหตุที่ว่า มีเพื่อนในห้องจะส่งใบสมัคร! เราก็แบบ เฮ้ย สนใจอ่ะ อยากไปเรียนต่อเมืองนอกเหมือนกัน (ตอนนั้นเริ่มท้อกับการสอบที่ไทย+อารมณ์ไม่อยากเรียนมหาวิทยาลัยที่ไทยก็เพิ่มมากขึ้น) ก็เลยถามๆรายละเอียดเพื่อนมาเล็กน้อยเอามาบอกพ่อแม่ ซึ่งก็เข้าอีหรอบเดิม...โดยแม่บอกว่า

'สอบที่ไทยให้รอดก่อน ค่อยคิดเรื่องไปเรียนเมืองนอก'

อารมณ์ตอนนั้นเราแบบ เฮ้ย ไรวะเนี่ย สนับสนุนลูกหน่อยได้มั้ย อยากไปเรียนจริงๆ 55555 แล้วตอนนั้นช่วงมรสุมชีวิตที่หนักมากๆของเราก็เกิดขึ้นค่ะ... เราเกิดอาการเครียดหนักขึ้นมาเพราะเหตุที่ว่ามันถึงช่วงที่ต้องยื่นเอกสารแล้ว แต่เราสอบ CU-TEP/AAT มาหลายรอบ คะแนนไม่ถึงเกณฑ์สักที TU-GET ก็สอบ(อันนี้ไม่มีปัญหา เพราะผ่านแล้ว) SAT ก็ไปสอบ จนถึงครั้งสุดท้ายของการสอบ เป็นเหตุการณ์ที่เราจำได้ขึ้นใจไม่เคยลืม วันประกาศผลตอนนั้นเป็นวันกีฬาสีของโรงเรียนเราค่ะ ในตอนที่สอบตอนนั้น เราคิดว่าเราทำได้อยู่ในเกณฑ์ที่โอเคอยู่ มีลุ้นว่าจะผ่าน อย่างที่ทุกคนรู้ว่า เกณฑ์ในการยื่นคะแนนของจุฬาฯ ส่วนใหญ่จะใช่ CU-TEP 80 คะแนน (ไม่รู้ตอนนี้เปลี่ยนหรือยัง) ก็...หลังจากที่มีกิจกรรมของเด็กม.6 ที่จะจบในปีนั้น (ซึ่งก็คือรุ่นเราเอง) เราก็กลับมาที่ห้องเรียน โทรหาแม่เพื่อถามเรื่องผลคะแนน ซึ่งผลก็...


เราไม่ผ่านค่ะ... ขาดไปอีก 2 คะแนน


ตอนนั้นเรานี่ทรุดไปแล้ว ร้องไห้โฮอยู่หน้าห้องจนเพื่อนตกใจหันมามองกันเต็มไปหมด ชีวิตตอนนั้น เรารู้สึกว่า ไม่รู้จะทำยังไงแล้ว เพราะว่าพยายามมาตลอดแต่สุดท้ายก็ไม่ได้ตามที่หวัง กลับมาที่บ้าน ทั้งพ่อแม่พี่ชายก็มาช่วยปลอบใจ จากนั้น แม่ก็เลยตัดสินใจบอกว่า 'งั้นลองสมัคร APU ดูละกัน' และหลังจากมรสุมลูกเก่าผ่านไป มรสุมลูกใหม่ที่ชื่อ APU ก็มาค่ะ 55555

(คำถาม: ยื่นจุฬาฯไม่ติด แล้วทำไมไม่ยื่นธรรมศาสตร์

ตอบ: ตอนแรกก็จะยื่นค่ะ แต่กลายเป็นว่าต้องมีสอบวัดระดับภาษาเพิ่มด้วย ซึ่งตอนนั้นด้วยอารมณ์ที่เฟลและขี้เกียจไปสอบอะไรอีกแล้ว ก็เลยตัดปัญหาโดยการไปยื่น APU เลย ไม่สนใจอย่างอื่นแล้ว 555555)


ตอนนั้นที่ตัดสินใจจะส่งใบสมัครของ APU ตอนนั้นใกล้จะถึงวันหมดเขตส่งแล้วค่ะ อีกประมาณสองอาทิตย์กว่าๆเอง ช่วงนั้น ทั้งแม่และเราแทบจะไม่ได้นอนเลย(ตีสอง ตีสามแทบทุกคืน) เพราะต้องมีเขียน Essay รวมถึงสอบภาษาที่จะใช้ยื่นสมัคร (พวก TOEIC TOEFL IELTS) และเอกสารจิปาถะอีกมากมายเต็มไปหมด แล้วที่โรงเรียน เราก็ต้องอ่านหนังสือสอบปลายภาคด้วย (ม.6 จะสอบเร็วกว่าปกติเพื่อให้นักเรียนอ่านหนังสือเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย) ซึ่งเราก็ไปสอบด้วยสภาพที่เหมือนซอมบี้เดินดิน 555555


หลังจากเรื่องโรงเรียนจบ แต่เรื่อง APU ยังไม่จบค่ะ เรื่องการสอบวัดระดับภาษา คะแนนที่ยื่นจะต้องตามเกณฑ์ตามที่มหาวิทยาลัยกำหนด ซึ่งเราเลือกสอบ TOEIC ค่ะ (เพราะมันง่ายสุด 555) และโชคดีที่ทางออฟฟิศของ APU ที่ไทย ขยายเวลาการส่งเอกสาร (เฉพาะคะแนนวัดระดับภาษา) เราเลยยังมีเวลาที่จะไปสอบ ปิดเทอมช่วงแรกๆ เราเลยทุ่มให้กับการสอบ TOEIC มากๆ โดยเราสอบไปทั้งหมด 2 ครั้งค่ะ ครั้งแรกไม่ผ่านเพราะทำข้อสอบไม่ทัน ส่วนครั้งที่สองก็ผ่านด้วยคะแนนที่ไม่หรูหรามาก (เอาแค่ผ่านเกินเกณฑ์ก็พอ แต่เปิดซองผลสอบมาแทบกริ๊ดเพราะผ่านสักที 5555555) จากนั้น เราก็ไปยื่นคะแนนให้ที่ออฟฟิศเลย จากนั้นไม่นาน ทางออฟฟิศ APU ก็ประกาศวันสัมภาษณ์ค่ะ...

...

...

(ฉับ)




ขอตัดจบแต่เพียงเท่านี้ก่อน (แฮ่!) พาร์ทสาม จะได้พูดถึงเอกสารที่ต้องยื่น การเตรียมตัวสัมภาษณ์ (ฉบับไอซ์) การสัมภาษณ์(แบบงงๆ) และการประกาศผลกันค่ะ... จะไปแบบเจาะลึกกันเล้ยยย







แล้วเจอกันค่ะ! またね!ヾ(*'▽'*)ノ


ช่องทางการติดต่อ. (อาจจะไม่ได้ตอบเร็ว แต่ จะตอบหมดค่ะ)
E-mail: iceice.f@gmail.com
(เฟสบุคกับทวิตเตอร์ขอหลังไมค์นะคะ :D)


1 comment:

  1. สวัสดีค่ะ เราเป็นอีกคนนึงที่สนใจทุนนี้ เราติดตามบล๊อกอยู่น้า วันอาทิตย์นี้จะไปสอบสัมภาษณ์แล้ว เลยมาหาข้อมูลสักหน่อย :) แชร์ประสบการณ์เยอะๆ นะคะ

    ReplyDelete