2015-10-31

Chapter 1: ทุนนี้ท่านได้แต่ใดมา (2)


สวีดัด สวัสดีค่ะ ทุกคน :) ไอซ์เองค่ะ (จะมีใครจำได้อยู่มั้ย 555555)


ไม่ได้มาเขียนบล็อกนานมากตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา... (ต้องขอโทษจากใจจริงฝุดๆ /โค้ง) เพราะหลังจากที่เขียนบล็อกคราวนั้นไป กลับญี่ปุ่นก็ยุ่งเรื่องเรียน เรื่องนู่นนี่เต็มไปหมด กลายเป็นว่าไม่มีเวลาที่จะเขียนเลยจริงๆ


หลังจากที่เขียนบล็อกตอนแรกไปก็มีคนส่งเมลเข้ามาสอบถามบ้าง ต้องขอบคุณจริงๆ ค่ะที่มีน้องๆ สนใจเกี่ยวกับมหาวิทยาลัยนี้ รวมถึงการเรียนต่อนอกกันมากขึ้น XD


ก็... อย่างที่เคยเกริ่นไว้ตอนท้ายบทความก่อนหน้านี้ว่า ต่อไปจะมาพูดถึงว่า ทำไมไอซ์ถึงมาสมัครทุนของ APU ทำไมถึงอยากเรียนที่ญี่ปุ่น ฯลฯ


เริ่มเลยดีกว่า... (คำเตือน: ยาวปานกลางถึงมากสุดๆ)


ค่ะ... เรื่องทุกอย่างเริ่มขึ้นหลังจากที่กลับมาจากไปแลกเปลี่ยนมา (เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนโครงการ AFS ประเทศเดนมาร์กค่ะ) คือ เราไปแลกเปลี่ยนตอนม.5 แล้วกลับมาเรียนต่อม.6 และด้วยความที่ว่า เด็กนักเรียนเมื่อขึ้นม.6 ก็ต้องมานั่งคิด (หรือคิดมานานแล้ว) ว่า จะเรียนต่อมหาวิทยาลัยไหนดี ต้องสอบอะไรบ้าง บลาๆ เรียนพิเศษกันหัวฟูแหลกลานสุดๆ ซึ่งเราก็เป็นจำพวกที่กล่าวมาทั้งหมดเลย 555555 ในตอนนั้น ใจเราอยากเรียนคณะอักษรศาสตร์มากๆ เพราะเพิ่งกลับมาจากแลกเปลี่ยนด้วยแหละ มันเลยทำให้ความอยากรู้ภาษาเพิ่มขึ้นไปอีก ก็ไปคุยกับพ่อแม่ดู


ปรากฏว่า พ่อแม่ไม่อนุมัติให้เรียนค่ะ เซ็งมาก...โดยเหตุผลก็เหมือนที่หลายคนโดนเมื่ออยากเรียนคณะที่อยากเรียนว่า


'เรียนคณะนี้ โตไปแล้วจะไปทำงานอะไร?'


พอโดนบ่นมากๆ ก็ โอเค ไม่เรียนก็ได้วะ 5555 ในใจพ่อแม่อยากให้เราเรียนบัญชี ไม่ก็เศรษฐศาสตร์ พวก ฺBBA EBA อะไรอย่างงี้ ส่วนมหาวิทยาลัยอะไรนั้น...ก็ไม่ได้ที่ไหนไกลเลย จุฬาฯกับธรรมศาสตร์ เราก็ เออออน่ะ  เรียนไปก็มีงานทำแค่นี้ก็พอ จากนั้นเราก็เตรียมตัวอ่านหนังสือเตรียมสอบเลยค่ะ ก็อย่างที่ทุกคนรู้ว่า เดี๋ยวนี้เด็กนักเรียนเริ่มสนใจเรียนคณะพวกนี้กันมากขึ้น การแข่งขันเลยสูงมากๆ ไอ้เราที่เพิ่งกลับมาจากแลกเปลี่ยนก็งอกง่อยสุดๆ ความรู้อะไรก็ไม่ค่อยจะมีเลยต้องฟิตหน่อย ทั้ง CU-TEP CU-AAT และอีกมากมาย แม่ก็ส่งให้ไปเรียนพิเศษตอนเย็นเพิ่มอีกเพื่อเอาไว้ใช้สอบ ซึ่งเราเนี่ย ชีวิตการเป็นนักเรียนของเรา ไม่ค่อยได้เรียนพิเศษเลย ส่วนใหญ่ถ้าเรียนก็จะเรียนพวกภาษาเพิ่มเติมมากกว่า วิชาการไม่ค่อยได้เรียน


แต่... เรื่องมันไม่ได้จบแค่นั้นนี่สิ ปีนั้น (2013/2556) ธรรมศาสตร์เปิดสอนคณะนิติฯ ภาคอินเตอร์เป็นปีแรก! แม่เราก็แบบชวนให้เราไปลองสอบ... ซึ่งตัวเราเองเนี่ย ไม่ได้อยากเรียนนิติเลยค่ะ บอกตรงๆว่าไม่ชอบเลย เราก็บอกพ่อกับแม่ว่า ไอซ์ไม่ได้อยากเรียนนิตินะ จะให้สอบทำไม เถียงกันไปเถียงกันมา(ด้วยน้ำตา) สุดท้าย...ก็ต้องไปสอบอยู่ดี (ชีวิตเศร้าจริงจัง) หลังจากยอมแพ้เรียบร้อย เราก็บอกแม่ว่าจะไปสอบให้ แต่ก็บอกอีก ถ้าไม่ติดก็อย่าว่า เพราะไม่ได้อยากเรียนคณะนี้อยู่แล้ว


(บทสนทนาระหว่างแม่และไอซ์)


ไอซ์: แม่ ไอซ์ไม่ได้อยากเรียนคณะนี้นะ เคยบอกไปแล้วหลายรอบ

แม่: เอาน่ะ ลองไปสอบดู เผื่อได้ เปิดปีแรกด้วยนะ เรียนภาษาอังกฤษนี่ไง ชอบภาษาไม่ใช่หรอ?

ไอซ์: (คิดหนัก.. ชอบภาษาแต่ไม่ได้ชอบกฎหมายนี่หว่า) แต่...

แม่: *พูดโยงเหตุผลร้อยแปดพันเก้าเพื่อให้ไปสอบ*

ไอซ์: (ขี้เกียจจะเถียง) ก็ได้ แต่ไม่ติดอย่าว่าละกัน

แม่: รู้แล้วๆ


หลังจากนั้นไม่นานก็ประกาศผลสอบข้อเขียนมา แต่เราก็ไม่ติด เราก็รู้อยู่แล้วแหละว่ายังไงก็ไม่ได้หรอก ไม่ได้มีหัวด้านกฎหมาย แต่เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิด คือ เราโดนพ่อด่าว่า ทำไมไม่ตั้งใจสอบให้ติด ตอนนั้นเราแบบ... เอ้า ก็บอกไปแล้วว่าไม่ได้อยากเรียน จะคาดคั้นอะไรกันอีก ซึ่งก็จบเรื่องด้วยน้ำตากันอีกหน 555555 แล้วยังไม่ทันไรก็มีสอบ CU-TEP/AAT แล้ว ชีวิตตอนนั้นคือแบบ มายก้อชมากจริงๆ ทั้งการบ้าน สอบที่โรงเรียน กิจกรรมโรงเรียน เรียนพิเศษ อะไรก็ไม่รู้ ชีวิตหัวหมุนและมรสุมชีวิตสุดๆ


และในช่วงระยะเวลาการสอบนี่แหละ ทำให้เราได้รู้จัก APU ด้วยเหตุที่ว่า มีเพื่อนในห้องจะส่งใบสมัคร! เราก็แบบ เฮ้ย สนใจอ่ะ อยากไปเรียนต่อเมืองนอกเหมือนกัน (ตอนนั้นเริ่มท้อกับการสอบที่ไทย+อารมณ์ไม่อยากเรียนมหาวิทยาลัยที่ไทยก็เพิ่มมากขึ้น) ก็เลยถามๆรายละเอียดเพื่อนมาเล็กน้อยเอามาบอกพ่อแม่ ซึ่งก็เข้าอีหรอบเดิม...โดยแม่บอกว่า

'สอบที่ไทยให้รอดก่อน ค่อยคิดเรื่องไปเรียนเมืองนอก'

อารมณ์ตอนนั้นเราแบบ เฮ้ย ไรวะเนี่ย สนับสนุนลูกหน่อยได้มั้ย อยากไปเรียนจริงๆ 55555 แล้วตอนนั้นช่วงมรสุมชีวิตที่หนักมากๆของเราก็เกิดขึ้นค่ะ... เราเกิดอาการเครียดหนักขึ้นมาเพราะเหตุที่ว่ามันถึงช่วงที่ต้องยื่นเอกสารแล้ว แต่เราสอบ CU-TEP/AAT มาหลายรอบ คะแนนไม่ถึงเกณฑ์สักที TU-GET ก็สอบ(อันนี้ไม่มีปัญหา เพราะผ่านแล้ว) SAT ก็ไปสอบ จนถึงครั้งสุดท้ายของการสอบ เป็นเหตุการณ์ที่เราจำได้ขึ้นใจไม่เคยลืม วันประกาศผลตอนนั้นเป็นวันกีฬาสีของโรงเรียนเราค่ะ ในตอนที่สอบตอนนั้น เราคิดว่าเราทำได้อยู่ในเกณฑ์ที่โอเคอยู่ มีลุ้นว่าจะผ่าน อย่างที่ทุกคนรู้ว่า เกณฑ์ในการยื่นคะแนนของจุฬาฯ ส่วนใหญ่จะใช่ CU-TEP 80 คะแนน (ไม่รู้ตอนนี้เปลี่ยนหรือยัง) ก็...หลังจากที่มีกิจกรรมของเด็กม.6 ที่จะจบในปีนั้น (ซึ่งก็คือรุ่นเราเอง) เราก็กลับมาที่ห้องเรียน โทรหาแม่เพื่อถามเรื่องผลคะแนน ซึ่งผลก็...


เราไม่ผ่านค่ะ... ขาดไปอีก 2 คะแนน


ตอนนั้นเรานี่ทรุดไปแล้ว ร้องไห้โฮอยู่หน้าห้องจนเพื่อนตกใจหันมามองกันเต็มไปหมด ชีวิตตอนนั้น เรารู้สึกว่า ไม่รู้จะทำยังไงแล้ว เพราะว่าพยายามมาตลอดแต่สุดท้ายก็ไม่ได้ตามที่หวัง กลับมาที่บ้าน ทั้งพ่อแม่พี่ชายก็มาช่วยปลอบใจ จากนั้น แม่ก็เลยตัดสินใจบอกว่า 'งั้นลองสมัคร APU ดูละกัน' และหลังจากมรสุมลูกเก่าผ่านไป มรสุมลูกใหม่ที่ชื่อ APU ก็มาค่ะ 55555

(คำถาม: ยื่นจุฬาฯไม่ติด แล้วทำไมไม่ยื่นธรรมศาสตร์

ตอบ: ตอนแรกก็จะยื่นค่ะ แต่กลายเป็นว่าต้องมีสอบวัดระดับภาษาเพิ่มด้วย ซึ่งตอนนั้นด้วยอารมณ์ที่เฟลและขี้เกียจไปสอบอะไรอีกแล้ว ก็เลยตัดปัญหาโดยการไปยื่น APU เลย ไม่สนใจอย่างอื่นแล้ว 555555)


ตอนนั้นที่ตัดสินใจจะส่งใบสมัครของ APU ตอนนั้นใกล้จะถึงวันหมดเขตส่งแล้วค่ะ อีกประมาณสองอาทิตย์กว่าๆเอง ช่วงนั้น ทั้งแม่และเราแทบจะไม่ได้นอนเลย(ตีสอง ตีสามแทบทุกคืน) เพราะต้องมีเขียน Essay รวมถึงสอบภาษาที่จะใช้ยื่นสมัคร (พวก TOEIC TOEFL IELTS) และเอกสารจิปาถะอีกมากมายเต็มไปหมด แล้วที่โรงเรียน เราก็ต้องอ่านหนังสือสอบปลายภาคด้วย (ม.6 จะสอบเร็วกว่าปกติเพื่อให้นักเรียนอ่านหนังสือเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย) ซึ่งเราก็ไปสอบด้วยสภาพที่เหมือนซอมบี้เดินดิน 555555


หลังจากเรื่องโรงเรียนจบ แต่เรื่อง APU ยังไม่จบค่ะ เรื่องการสอบวัดระดับภาษา คะแนนที่ยื่นจะต้องตามเกณฑ์ตามที่มหาวิทยาลัยกำหนด ซึ่งเราเลือกสอบ TOEIC ค่ะ (เพราะมันง่ายสุด 555) และโชคดีที่ทางออฟฟิศของ APU ที่ไทย ขยายเวลาการส่งเอกสาร (เฉพาะคะแนนวัดระดับภาษา) เราเลยยังมีเวลาที่จะไปสอบ ปิดเทอมช่วงแรกๆ เราเลยทุ่มให้กับการสอบ TOEIC มากๆ โดยเราสอบไปทั้งหมด 2 ครั้งค่ะ ครั้งแรกไม่ผ่านเพราะทำข้อสอบไม่ทัน ส่วนครั้งที่สองก็ผ่านด้วยคะแนนที่ไม่หรูหรามาก (เอาแค่ผ่านเกินเกณฑ์ก็พอ แต่เปิดซองผลสอบมาแทบกริ๊ดเพราะผ่านสักที 5555555) จากนั้น เราก็ไปยื่นคะแนนให้ที่ออฟฟิศเลย จากนั้นไม่นาน ทางออฟฟิศ APU ก็ประกาศวันสัมภาษณ์ค่ะ...

...

...

(ฉับ)




ขอตัดจบแต่เพียงเท่านี้ก่อน (แฮ่!) พาร์ทสาม จะได้พูดถึงเอกสารที่ต้องยื่น การเตรียมตัวสัมภาษณ์ (ฉบับไอซ์) การสัมภาษณ์(แบบงงๆ) และการประกาศผลกันค่ะ... จะไปแบบเจาะลึกกันเล้ยยย







แล้วเจอกันค่ะ! またね!ヾ(*'▽'*)ノ


ช่องทางการติดต่อ. (อาจจะไม่ได้ตอบเร็ว แต่ จะตอบหมดค่ะ)
E-mail: iceice.f@gmail.com
(เฟสบุคกับทวิตเตอร์ขอหลังไมค์นะคะ :D)


2015-02-23

PROLOGUE: ทุนนี้ท่านได้แต่ใดมา? (1)

สวัสดีค่ะ ทุกคน : )


ก่อนอื่นต้องแนะนำตัวกันก่อนเนอะ...


เจ้าของบล็อคชื่อ ไอซ์ ค่ะ อายุปีนี้ก็จะ 20 แล้ว ตอนนี้เรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัย Ritsumeikan Asia Pacific University หรือที่เราเรียกกันสั้นๆว่า APU นั่นแหละค่ะ


ที่จริงแล้วบล็อคนี้ตั้งใจจะเขียนตั้งแต่ได้ทุน แต่ว่าติดเรื่องอะไรหลายๆอย่างจนตอนนี้จบเทอมแรกเรียบร้อยแล้ว กลับไทยมาว่างๆ เลยขอเขียนสักหน่อยละกัน (หัวเราะ)


เนื้อหาสาระของบล็อคนี้ก็ไม่มีอะไรมากค่ะ ก็เกี่ยวกับมหาวิทยาลัยนี้เนี่ยแหละเนอะ เล่าเท่าที่รู้ อันไหนเราไม่รู้ก็ไม่เล่า ฮ่าๆ ตามจริงแล้วรู้สึกเดี๋ยวนี้นักเรียนไทยเริ่มที่จะสนใจที่จะเรียนต่อเมืองนอกกันมากขึ้น ไม่ใช่เราคิดว่า มหาวิทยาลัยที่ไทยนั้นไม่ดี แต่การเรียนต่อเมืองนอกก็เหมือนเป็นการเปิดโอกาส เปิดโลกทัศน์ ทัศนคติของตัวเองมากยิ่งขึ้น ไม่ใช่เพียงฟังแต่คำบอกเล่าของคนอื่นที่เล่าๆต่อกันมาว่า ดีอย่างนั้น ดีอย่างนี้ ก็เหมือนคำกล่าวที่ว่า สิบปากว่า ไม่เท่าตาเห็น ไม่ได้สัมผัสเอง ไม่มีทางรู้แน่ๆ :)


เรื่องแรกๆก็คงหนีไม่พ้นเรื่องที่ว่า มหาวิทยาลัยนี้เป็นมหาวิทยาลัยแบบไหน แล้วไอซ์ได้ทุนนี้มาได้ยังไง จะขอเล่าให้ฟังเลยดีกว่า (อาจจะยาวเล็กน้อยหรือต่ออีกตอน)


เริ่มมาก็ต้องมาแนะนำมหาวิทยาลัยกันก่อน
( หมายเหตุ: ข้อมูลบางส่วนนำมาจากเว็บไซต์มหาวิทยาลัยโดยตรง จิ้มเข้าหน้าเว็บ )


Q: What is APU? Where is it located?

A: ผู้ใหญ่หรือนักเรียนบางคนมักสงสัยและไม่เคยได้ยินชื่อมหาวิทยาลัยนี้มาก่อนแน่ๆ เพราะมหาวิทยาลัยนี้เปิดเมื่อปี 2000 ค่ะ เปิดมาประมาณสิบกว่าปี และมหาวิทยาลัยนี้ก็คล้ายกับเป็นวิทยาเขตของมหาวิทยาลัยใหญ่ (Ritsumeikan University) ที่ตั้งอยู่ที่เกียวโต
ความแปลกใหม่ที่มหาวิทยาลัยนี้ที่แตกต่างจากมหาวิทยาลัยอื่นก็คือ นักศึกษาที่นี่มีนักศึกษาต่างชาติและนักศึกษาญี่ปุ่น จำนวนครึ่งต่อครึ่งเลยทีเดียว (ประมาณเอา) นักศึกษาจากต่างชาติก็มาจาก 100 กว่าประเทศทั่วโลกเลยทีเดียว ซึ่งส่วนใหญ่ก็มาจากประเทศในเอเชียด้วยกันนี่แหละ ทั้งเวียดนาม อินโดนิเซีย จีน เกาหลี ฯลฯ แล้วก็มีจากยุโรป อเมริกาด้วย

มหาวิทยาลัยนี้ตั้งอยู่บนเขา... ค่ะ อ่านไม่ผิดหรอก ตั้งอยู่บนเขา เป็นมหาวิทยาลัยที่อยู่ในเกาะทางใต้ของประเทศญี่ปุ่น (เกาะคิวชู) อยู่ที่เมืองเบปปุ (ฺBeppu) จังหวัดโออิตะ (Oita) ห่างจากเมืองใหญ่ฟุคุโอกะ (นั่งรถไฟหรือบัส) ประมาณ 2 ชั่วโมง คนที่มาเที่ยวหรือชื่นชอบประเทศนี้ก็จะรู้ว่า เมืองเบปปุเนี่ยจะมีชื่อเสียงในเรื่องออนเซ็นมากๆ มองจากมหาวิทยาลัยลงไปบางทีก็จะควันขาวๆ ลอยขึ้นมาเป็นหย่อมๆ ดูๆ แล้วก็เพลินตาดี :)




เบปปุเป็นเมืองเล็กๆและเงียบสงบ จะว่าเป็นเมืองผู้สูงอายุด้วยก็ได้  (เพราะรู้สึกเมืองนี้คนวัยชราจะเยอะเกินคาด 55555)  ความวุ่นวายที่เรามักจะเห็นอย่างเมืองใหญ่ๆ จะไม่ค่อยได้เห็นกันค่ะ เมืองนี้เขาอยู่กันอย่างสงบ


Q: มหาวิทยาลัยนี้ดีอย่างไร

A: ในความคิดของไอซ์ คิดว่ามหาวิทยาลัยนี้อาจเทียบไม่ได้กับมหาวิทยาลัยที่เด่นดังในประเทศญี่ปุ่น แต่สิ่งหนึ่งเลยที่จะได้จากมหาวิทยาลัยนี้นั่นก็คือ คุณจะได้เพื่อนจากหลายประเทศโดยที่ไม่คาดคิดเลย จากในเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยบอกไว้ว่า "The APU campus is a truly multicultural and multilingual environment with nearly half of the student population made up of international students from around the world and an equally diverse faculty." จะเห็นว่าสภาพแวดล้อมในมหาวิทยาลัยนี้ไม่ได้มีเฉพาะแค่คนญี่ปุ่น แต่จากหลายเชื้อชาติเลย เราจะไม่ได้แต่ภาษาญี่ปุ่น อาจจะได้ทั้งภาษาเวียดนาม จีน เกาหลี หรือมากกว่านั้น จากเพื่อนๆของเรา เหมือนเป็นที่ที่รวมหลากภาษาหลากเชื้อชาติเอาไว้ในที่เดียวเลยล่ะ ใครที่อยากเรียนภาษาเพิ่ม ไม่ผิดหวังเลยค่ะ 5555555

นอกจากจะได้เรียนรู้ภาษาแล้ว เรายังได้รู้วัฒนธรรมแปลกใหม่ที่เราไม่เคยได้รู้ได้เห็นกันจริงๆด้วย เพราะที่มหาวิทยาลัยนี้ มีการจัดกิจกรรมที่เรียกว่า Multicultural Week ในแต่ละเทอมอีกด้วย ซึ่งจะแบ่งออกจัดกิจกรรมนี้ออกเป็นสองเทอม (เทอม Spring / Fall) ด้วยกันค่ะ แต่ละประเทศที่จัดกิจกรรมนี้ในหนึ่งอาทิตย์ก็จะมีกิจกรรมย่อยแตกต่างกันออกไปค่ะและวันศุกร์ก็จะมีการจัด Grand show หรือการแสดงใหญ่ในหอประชุมด้วย อย่างประเทศไทยของเราหรือ Thai week ก็จะจัดในเทอม Spring ซึ่งแต่ละปีก็อลังการงานสร้างสุดๆ (ขอคอนเฟิร์ม เพราะดูมาหมดแล้ว)



(ถ่ายกับเพื่อนเวียดนาม อินโดนิเซีย)


Q: การเรียนของที่นี่เป็นยังไงบ้าง

A: มหาวิทยาลัยนี้มีตั้งแต่ปริญญาตรีจนถึงเอกค่ะ (ใครเรียนจบตรีจะต่อที่นี่ก็ได้) สำหรับปริญญาตรีมีทั้งหมด 2 คณะ คือ APM (College of International Management) และ APS (College of Asia Pacific Studies) หรือเรียกสั้นๆว่า M กับ S 
  • APM เป็นคณะเกี่ยวกับบริหารค่ะ มี Major ให้เลือกทั้งหมด 4 ด้านด้วยกัน ก็คือ บัญชี (Accounting and Finance) การตลาด (Marketing) เศรษฐศาสตร์ (Innovation and Economic) และการบริหารจัดการ (Strategic Management and Organization) 
  • APS ก็มี Major ให้เลือกทั้งหมด 4 ด้านเหมือนกัน คือ สิ่งแวดล้อม (Environment and Development) การท่องเที่ยว (Hospitality and Tourism) ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (International Relations and Peace studies; IR) วัฒนธรรมและสังคม (Culture, Society and Media)
ปล. ใครสนใจเรียนด้านไหนก็เลือก Major นั้นได้ในตอนขึ้นปีสองค่ะ (ตอนนี้ไอซ์ก็เรียนอยู่ APM)
(รายละเอียดเกี่ยวกับคณะก็อ่านเพิ่มเติมได้ ที่นี่เลย จิ้มเลยจ้า )

ในความคิดของไอซ์แล้ว ถ้าเทียบกับมหาวิทยาลัยที่ไทยถือว่าสบายกว่านะ หนึ่งเทอมเรียนประมาณสี่เดือน ในหนึ่งเทอมแบ่งเป็นสองควอเตอร์ (Quarter) ในหนึ่งวันมีหกคาบเรียน  (Period) คาบละประมาณชั่วโมงครึ่ง คาบแรกเริ่ม 8.45 ช่วงต่อระหว่างคาบมีเวลาพัก 15 นาที ซึ่งในแต่ละวันก็จะเรียนเวลาที่ต่างๆกันไปตามวิชาที่เราลงเรียน (ไม่ได้เรียนทุกคาบ)
มหาวิทยาลัยนี้จะมีภาษาที่ใช้ในการสอนสองภาษาก็คือ ญี่ปุ่น (Japanese-Based) และอังกฤษ (English-Based) นักเรียนต่างชาติส่วนใหญ่ก็จะเรียนเป็นภาษาอังกฤษกัน แต่ก็จะมีต่างชาติที่เรียนเป็นญี่ปุ่นด้วย

ในเรื่องของวิชาเรียนนั้น ถ้าเป็นนักเรียนต่างชาติที่เรียนเป็นภาษาอังกฤษ ทางมหาวิทยาลัยก็จะบังคับให้เรียนภาษาญี่ปุ่นในปีหนึ่งค่ะ (ทั้งสองเทอมเลย) ส่วนนักเรียนญี่ปุ่นก็จะเรียนอังกฤษ สำหรับนักเรียนปีหนึ่ง เทอมหนึ่ง ก่อนที่จะเปิดเทอมก็จะมีการสอบภาษาค่ะ (ถ้าเป็นนักเรียน APM ก็จะมีสอบเลขด้วย) เป็นการวัดระดับว่า เราจะได้เรียนอยู่ในระดับไหน เมื่อเปิดเทอมก็จะเรียนตามระดับที่เราสอบได้ แล้วก็จะมีวิชาเลือกที่เราสามารถเลือกเรียนตามความสนใจของเราได้ด้วย

เรียกได้ว่า ปีหนึ่งจะเน้นหนักไปในเรื่องของภาษาเป็นอย่างแรกเลย (มาอยู่บ้านเค้าก็ต้องเรียนภาษาบ้านเค้าแหละ) อาจจะเรียนหนัก แต่ถ้าพยายามก็ไม่เป็นปัญหาอย่างแน่นอน :)

ปล2. แนะนำให้เรียนภาษาญี่ปุ่นก่อนมาจะดีมากค่ะ อย่างน้อยให้รู้เรื่องอักษรฮิรากานะ คาตาคานะ คันจิง่ายๆ ก็ยังดี


Q: ชมรมละ มีบ้างมั้ย?
A: บอกเลยว่า ที่ APU มีชมรมน่าสนใจอยู่เยอะมากๆเลย เป็นชมรมที่นักเรียนที่นี่เป็นคนตั้งขึ้นมาเอง ทั้งเกี่ยวกับภาษา วัฒนธรรม ดนตรี กีฬา การแสดง หรือแม้แต่ชมรมอาสาก็มี เราสามารถเลือกเข้าได้ตามใจชอบเลย ส่วนใหญ่ถ้าเป็นชมรมเกี่ยวกับดนตรี กีฬาหรือการแสดง ก็จะมีวันเวลาซ้อมของแต่ละชมรมด้วย ส่วนตัวยังไม่ได้เข้าชมรมไหนในตอนนี้ เพราะภาษาญี่ปุ่นยังเงอะๆงะๆอยู่เลย (หัวเราะ)


Q: การเดินทางละสะดวกหรอ? อยู่กันยังไง?
A: จากที่บอกว่ามหาวิทยาลัยอยู่บนเขา หลายคนอาจจะคิดว่าเดินทางลำบาก ไม่สะดวก แต่ที่จริงแล้วมีรถบัสจากในเมืองเบปปุขับขึ้นมาถึงมหาวิทยาลัยเลย ใช้เวลาประมาณ 35-40 นาที เวลาลงไปซุปเปอร์มาร์เก็ตซื้อของอะไรต่างๆ หรือพักอยู่ในเมือง ก็มีให้นั่งได้ทุกวัน แต่ในช่วงฤดูหนาวที่หิมะตกหนักๆหรือเกิดเหตุการณ์ทางธรรมชาติอื่นๆ ก็จะมีหยุดวิ่งบ้างบางวัน

สำหรับนักเรียนปีหนึ่ง ทางมหาวิทยาลัยจะให้อยู่หอค่ะ (บางคนก็อยู่หอเทอมเดียวก็มี ด้วยสาเหตุที่ว่า อยู่เมืองสะดวกกว่าเยอะ ฮ่าๆ) ที่เรียกกันว่า AP House หรือเรียกกันสั้นๆว่า เฮาส์1 และ เฮาส์2 มีทั้งห้องเดียวและห้องแชร์ ...สำหรับห้องเดี่ยวห้องจะเล็กกว่าห้องแชร์แต่ก็จะมีห้องน้ำเล็ก อ่างล้างมือภายในตัวห้องค่ะ ส่วนห้องแชร์จะไม่มีก็เลยอาจจะไม่ค่อยสะดวกเท่าไร แต่ห้องแชร์มีข้อดี เราก็จะได้เพื่อนเร็ว ก็เพื่อนแชร์ห้องเนี่ยแหละ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นคนญี่ปุ่น ก็ได้ฝึกภาษาไปในตัว มีการบ้านอะไรก็ถามได้สะดวก

จากหอเดินไปมหาวิทยาลัย (Campus) ใช้เวลาประมาณ 10 นาที ก็ต้องกะเวลาไว้ล่วงหน้าด้วยแหละเวลาไปเรียน เพราะอย่างที่รู้ว่า คนญี่ปุ่นเข้มงวดเรื่องเวลานะจ้ะ พยายามอย่าไปเรียนสายเลย :)



(ถ่ายหน้า AP House 2 วันแรกที่มาถึงมหาวิทยาลัย :D)


(หอบ แฮกๆ...)

เอาละค่ะ จบแล้วสำหรับพาร์ทแรก (ดูชื่อไม่ได้เข้ากับเนื้อหาเลย 555555) หวังว่า ก็จะได้รู้อะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับ APU ไม่มากก็น้อยนะคะ พาร์ทสองก็มาดูกันว่า ไอซ์มารู้จักทุนนี้ได้ยังไง ทำไมถึงได้เลือกมาที่นี่ วุ่นวายเรื่องเอกสาร การสัมภาษณ์เป็นยังไง 

จะมาในไม่ช้านี้แน่ๆ :D

แล้วเจอกันค่ะ! またね!ヾ(*'▽'*)ノ


ช่องทางการติดต่อ. (อาจจะไม่ได้ตอบเร็ว แต่ จะตอบหมดค่ะ)
E-mail: iceice.f@gmail.com
(เฟสบุคกับทวิตเตอร์ขอหลังไมค์นะคะ :D)