2016-02-16

Chapter 1: ทุนนี้ท่านได้แต่ใดมา (จบ)



สวัสดีค่ะทุกคน กลับมาอีกครั้งหลังจากหายไปนานมากกกกกก (เพิ่ม ก ไก่อีกล้านตัว)


ตอนนี้ปิดเทอมแล้วก็กลับไทยมาเรียบร้อยค่ะ แหะๆ


จากตอนที่แล้ว (ที่ดูไม่ค่อยจะมีอะไรสักเท่าไร) อย่างที่บอกไปว่า ในตอนนี้จะพูดถึงการเตรียมเอกสารและการสอบสัมภาษณ์ ซึ่งการเตรียมเอกสารไอซ์ขออ้างอิงจากสิ่งที่ไอซ์ต้องทำนะคะ เพราะจากที่ลองไปดูในเว็บของAPU แล้ว ในเรื่องของเอกสารบางอย่างตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว

*** ปล. ข้อมูลบางอย่างจะขออ้างอิงจากตอนที่ไอซ์สมัครนะคะ บางอย่างอาจจะไม่เหมือนกันแล้วในตอนนี้ แต่จะวงเล็บไว้ให้ว่าตอนนี้เป็นยังไงบ้างแล้ว ***


เนื่องจากว่า ไอซ์สมัครรอบ FALL ฉะนั้นช่วงเวลาการส่งเอกสารก็จะอยู่ในช่วงเดือนกันยายนถึงมกราคมค่ะ (ในตอนนี้เพิ่มรอบการสมัครแล้วนะคะ มีทั้งหมด 2 รอบแล้ว)

เริ่มแรกจะพูดถึงเรื่อง Requirement จากที่มหาวิทยาลัยกำหนด ซึ่งมีดังนี้

1) เรื่องการศึกษา (Educational Qualifications)
  • ผู้สมัครจะต้องเรียนจบการศึกษาภาคบังคับ (12 ปี) หรือว่าจะเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ในปีที่สมัคร 
 2) การวัดระดับภาษา (Language Proficiency) สามารถเลือกสอบได้ 2 ภาษาค่ะ ก็คือ ภาษาญี่ปุ่น หรือ ภาษาอังกฤษ
  • ภาษาญี่ปุ่น: สามารถยื่นคะแนนโดยสอบ JLPT และ EJU (Examination for Japanese University Admission for International Students)
    • JLPT N1 90 คะแนนขึ้นไป
    • JLPT N2 100 คะแนนขึ้นไป
    • EJU 220 คะแนนขึ้นไป (ไม่รวม Writing)
  • ภาษาอังกฤษ: สามารถยื่นคะแนนโดยสอบ IELTS, TOEFL, TOEIC และ Eiken Test 
    • IELTS ได้ Total Result 5.5 ขึ้นไป
    • TOEFL iBT  61 คะแนนขึ้นไป (เพิ่ม) PBT 500 คะแนนขึ้นไป
    • TOEIC 700 คะแนนขึ้นไป
    • Eiken Test Grade pre-1
จาก Requirement 2 ข้อข้างบน ข้อแรกก็ผ่านอยู่แล้ว ส่วนข้อสองเนี่ย ไอซ์เลือกสอบ TOEIC ค่ะ เหตุผลที่เลือกสอบเพราะว่า ในความคิดไอซ์ ถ้าเทียบกับ IELTS และ TOEFL, TOEIC ง่ายที่สุดแล้ว /ฮาาาาาา (ถึงแม้จะง่ายแต่ก็สอบไปสองรอบถ้วน ;___;)   แต่ก็แล้วแต่ความชอบของแต่ละคนเนอะ ว่าอยากสอบอะไร

สำหรับคนที่กังวลว่า จำเป็นจะต้องได้คะแนนสูงๆมั้ย ส่งผลอะไรต่อการสอบสัมภาษณ์หรือเปล่า ขอบอกไว้ตรงนี้เลยว่า 'ไม่จำเป็นค่ะ' ขอให้คะแนนของคุณผ่านเกณฑ์ที่มหาวิทยาลัยกำหนดก็พอแล้ว หรือถ้าใครอยากได้คะแนนสูงๆไว้ก่อนก็แล้วแต่ค่ะ อันนี้อยู่ที่การตัดสินใจของแต่ละคน (ซึ่งคนที่ละซึ่งความพยายามอย่างเราแล้ว ขอแค่ผ่านก็พอค่ะ /ปาดน้ำตา)


ต่อไปจะพูดถึงเรื่องเอกสารที่ต้องส่งนะคะ ซึ่งมีดังนี้
(อ้างอิงจาก Admissions Handbook 2016)
  1. ใบสมัคร (Undergraduate Application Form)
  2. เรียงความ (Application Essay)
  3. แบบสอบถามเกี่ยวกับการพำนักอาศัย (Certificate of Eligibility)
  4. หลักฐานการจ่ายเงินค่าสมัคร (Proof of Application Fee Payment)
  5. ทรานสคริปต์ หรือ ผลสอบอื่นๆ (Academic Transcript)
  6. หลักฐานแสดงผลสอบวัดระดับภาษา (Document of Proving Japanese/English Proficiency)
  7. จดหมายแนะนำ (Letter of Recommendation)
  8. สำเนาพาสปอร์ต (Passport Copy)
  9. รูปถ่าย ขนาด 3x4 cm จำนวน 2 ใบ (Two Photographs size 3x4 cm)
  10. Checklist 
เอกสารเพิ่มเติม
  1. เรียงความขอทุน (APU Tuition Reduction Scholarship Application)
  2. กิจกรรมนอกเวลา/ชมรม (Extra Curricular Activities Report)
  3. หลักฐานแสดงการเข้าร่วมกิจกรรมจากข้อ 2 (Document(s) to prove Participation Extra Curricular Activities)
  4. ประกาศนียบัตรการได้ทุน (นอกเหนือจาก APU) (Certifications of Scholarships Received from other organizations)
** เอกสารก็สามารถดาวน์โหลดได้จาก เว็บของมหาวิทยาลัยได้เลย (ลิงค์: จิ้มเลยจ้ะ )
*** ในตอนนี้ เอกสารบางตัวก็สามารถส่งได้ทาง Online แล้ว แต่บางตัวก็ยังต้องส่งทางไปรษณีย์นะคะ รายละเอียดก็สามารถเช็กได้จาก Admissions Handbook
**** รายละเอียดอย่างละเอียดก็สามารถอ่านได้จาก Admissions Handbook เช่นเดียวกัน


ตอนนี้ เราก็จะมาเจาะรายเอียดของเอกสารกัน :) (จะพูดถึงแค่บางตัวนะคะ)
1) ใบสมัคร จะแบ่งออกเป็น 3 พาร์ท
  • 1: อันนี้กรอกตามที่เอกสารระบุไว้เลยค่ะ 
  • 2: ถ้าใครขอทุน ก็ให้ติ๊ก Yes ในช่อง Scholarship ไปนะคะ
  • 3: ประวัติการศึกษา ให้กรอกตามตัวอย่างเลยค่ะ
2) เรียงความ **
    (ตัวหนาและสีแดง 5555555) ตอนนี้เรียงความทั้งหมดที่ต้องเขียน มีทั้งหมด 4 ข้อ ข้อละ 100-150 คำ (เปลี่ยนจากตอนปี 2014 ตอนนั้นมีให้เขียนเรียงความแค่ 2 ข้อ แต่ข้อละ 500 คำ)
    การเขียนเรียงความ เป็นหนึ่งในสิ่งสำคัญของการขอทุนเลย เพราะฉะนั้นอยากให้เขียนกันให้ดี เขียนให้ตรงจุด พยายามอย่าเขียนเวิ่นเว้อ ออกทะเลมากเพราะจำนวนคำที่น้อยอยู่แล้ว ก็เขียนเนื้อเน้นๆไปเลย อย่าเขียนน้ำมากค่ะ

3) ทรานสคริปต์ / ผลสอบอื่นๆ
    ต้องเป็นทรานสคริปต์ของม.ปลายนะคะ (ม.4-6) ถ้ามีผลสอบอื่นอย่างเช่น SAT ก็สามารถใส่เพิ่มได้ (พวก CU-TEP, CU-AAT ฯลฯ ไม่เกี่ยวในหัวข้อนี้นะ)

4) หลักฐานแสดงผลสอบวัดระดับภาษา
    ต้องใช้ Official Result ที่เป็นตัวจริงเท่านั้น ไม่สามารถใช้ Copy ได้

5) จดหมายแนะนำ (+English Proficiency Evaluation)
    แนะนำให้คุณครูต่างชาติหรือคุณครูภาษาอังกฤษที่โรงเรียนเป็นคนเขียนเอกสารตัวนี้ให้นะคะ ถ้าจะให้ดีก็ประทับตราโรงเรียนด้วยก็ได้

6) รูปถ่าย
    จำนวน 2 ใบ ต้องเป็นขนาด 3x4 cm พื้นหลังสีขาว แล้วก็ต้องเขียนชื่อภาษาอังกฤษกับสัญชาติข้างหลังรูปถ่ายด้วย

7) เรียงความขอทุน **
    อันนี้ก็เป็นอีกหนึ่งเรียงความที่สำคัญในการขอทุนค่ะ เขียนประมาณ 150 คำ (เปลี่ยนจากปี 2014 ที่ต้องเขียนประมาณ 300 คำ) สำหรับคนที่ไม่ได้ขอทุนไม่ต้องใช้เอกสารตัวนี้นะคะ

8) กิจกรรมนอกเวลา/ชมรม (+หลักฐาน)
    สำหรับคนที่ทำกิจกรรม การแข่งขัน เคยเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนต่างประเทศ สามารถเขียนรายละเอียดได้ที่เอกสารตัวนี้เลย ตามหัวข้อที่ทางเอกสารแยกมาให้ รวมถึงการสอบ CU-TEP, CU-AAT สอบวัดระดับภาษาอื่นๆ ฯลฯ ก็สามารถกรอกได้เหมือนกัน
* สำหรับประกาศนียบัตรหรือเหรียญรางวัล สำหรับตรงนี้ใช้เป็นตัว Copy ได้ แต่สำหรับหลักฐานการสอบหรือใบรับรองต่างๆ ก็ยังคงต้องเป็นตัวจริงเหมือนเดิมค่ะ
** อย่าลืมเขียนตรงหัวกระดาษของหลักฐานตามลำดับที่เขียนในเอกสารนะคะ อย่างเช่น ประกาศนียบัตรจากการแข่งขันที่อยู่ในข้อ B-1 ก็เขียนไว้ที่มุมกระดาษของหลักฐานการแข่งขันด้วยว่า B-1 เป็นต้น


เอาล่ะ... ผ่านเรื่องที่ดูเครียดกันไปแล้ว ก็มาขอพูดถึงประสบการณ์หรือความทุกข์ระทมตั้งแต่ช่วงทำเอกสารซักนิดนึง

อย่างที่บอก(อีกแล้ว)ว่า เป็นการสมัครที่กะทันหันมากๆ ทุกอย่างจึงรวดเร็วไปหมดเลย จำได้เลยว่า มีอยู่อาทิตย์นึงที่ไปเรียนเหมือนไม่ได้เรียน นั่งเขียนเรียงความในคาบเรียน ทำเรื่องขอทรานสคริปต์ ถ่ายรูป ไปหาครูต่างชาติให้เขียน Letter of recommendation ให้ เตรียมตัวสอบ TOEIC ยุ่งทั้งอาทิตย์เลยทีเดียว

สิ่งที่เป็นปัญหาที่สุดคือ การเขียนเรียงความค่ะ สำหรับไอซ์ ถึงแม้ว่าจะชอบภาษาอังกฤษ ไปแลกเปลี่ยนมาก็แล้ว เรียนเสริมอังกฤษมาก็หลายปีแล้ว แต่การเขียนเป็นอะไรที่ไม่ใช่แนวมากๆ 5555555 เลยใช้เวลากับการเขียนเรียงความนานมากๆ เพราะมันต้องเขียนตั้ง 500 คำ 2 ข้อ เรียงความขอทุนอีก 300 คำ เบ็จเสร็จก็ประมาณ 1300 คำ อ้วกแตกเลยทีเดียว /ฮาาาา แม่ก็เลยให้บอกให้เราเอาเรียงความไปให้กับลูกพี่ลูกน้องเรากับรุ่นพี่คนนึงที่เก่งอังกฤษช่วยเกลาภาษาให้ ก็ช่วยกันเกลาช่วยกันแก้อยู่เกือบสิบรอบถึงจะโอเคแล้วเขียนลงใบสมัคร จำได้ว่า...ต้องนั่งเขียนเรียงความตั้งแต่สามทุ่มถึงตีสาม ตื่นหกโมงไปสอบปลายภาคที่โรงเรียน หนังสือนี่แทบไม่ได้อ่าน 55555 แต่ก็ผ่านมาได้ด้วยดี(มั้ง)
สำหรับการสัมภาษณ์ หลังจากที่ประกาศวันว่าจะสอบสัมภาษณ์เมื่อไรก็เตรียมตัวอยู่พอสมควร เพราะแม่ให้คำมั่นสัญญาว่า ถ้าผลออกมาไม่ได้ทุน 100% จะไม่ให้ไป 80% ก็ไม่ได้ ต้องได้ 100% เท่านั้น ไม่งั้นต้องไปสอบ GAT PAT...

ในใจไอซ์ตอนนั้นเนี่ย... ซวยแล้วกู

ไอซ์ก็คิดว่า ยังไงก็ต้องทำให้ดีที่สุด เพราะใจตอนนั้นลอยไปญี่ปุ่นเรียบร้อยแล้ว แม่ก็ช่วยโดยการลองหาข้อมูลจากในเน็ตว่า รุ่นพี่ที่เคยสอบ APU เขาเตรียมตัวกันยังไงบ้าง คำถามเป็นแนวไหน แล้วก็ลองสมมติสถานการณ์จริงตอนสัมภาษณ์ขึ้นมาให้ได้ลองซ้อมดู ถึงแม้ว่าเราจะเคยมีประสบการณ์สัมภาษณ์ตอนสอบไปแลกเปลี่ยน แต่เพราะการสัมภาษณ์นี้นั้น กรรมการจะสัมภาษณ์เราเป็นภาษาอังกฤษค่ะ ก็เลยแอบเครียดเล็กน้อย

แล้ววันสอบสัมภาษณ์ก็มาถึง...

จำได้เลยว่าสอบสัมภาษณ์วันอาทิตย์ เป็นคนที่ 4 ค่ะ สอบที่ห้อง Meeting room ที่โรงแรมแห่งหนึ่งแถวๆอโศก (จำชื่อโรงแรมไม่ได้แล้ว) บอกเลยว่า...ตื่นเต้นมากกกกกกกกกก แม่มาด้วย แม่ก็ตื่นเต้นไปด้วยเลย 55555555 อ้อ.. ไอซ์ทำ Portfolio ในการสอบสัมภาษณ์ด้วย แต่ก็ไม่ได้หรูหราอะไรมากมาย ห้องสัมภาษณ์แบ่งออกเป็นสองห้อง ก่อนเข้าห้องสัมภาษณ์ก็ไปลงชื่อกับพี่จากสำนักงาน APU Thailand แล้วก็เตรียมตัวกับแม่อีกรอบหนึ่ง จากแนวคำถามที่ได้มาก็ลองเขียนสิ่งที่จะตอบกับกรรมการไป แล้วก็จำๆ เข้าห้องสอบไปด้วยนิดหน่อย ไอซ์ไม่อยากจำเยอะเพราะ เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่า เราจะโดนกรรมการถามอะไรบ้าง แล้วก็การสัมภาษณ์จะใช้เวลาประมาณ 15 นาทีค่ะ

พอถึงเวลาคิวสัมภาษณ์ พอคนก่อนหน้าออกมา พี่ที่ดูแลก็บอกว่า ให้รอสัก 5 นาทีก่อนแล้วค่อยเคาะประตูเข้าไป พอครบ 5 นาทีปุ๊ปก็เคาะประตู เปิดประตูเข้าไป ก็เจอคนญี่ปุ่นทั้งสองคนเลย คนนึงดูมีอายุน่าจะเป็นกรรมการหลัก ส่วนอีกคนเหมือนเป็นผู้ช่วย พอนั่งลงปุ๊บก็ทักทายเขา เราก็ยื่น portfolio ไปให้ เขาก็เปิดๆดูนิดหน่อย เตรียมเอกสารสักพักนึง เขาก็ถามเราว่า เริ่มเลยมั้ย เราก็บอก โอเค

จากนี้คือสถานการณ์ที่เกิดขึ้นภายในห้องสัมภาษณ์... (เวอร์ชั่นแปลไทยเรียบร้อย)
ปล. ใครใคร่อ่านก็อ่าน ใครไม่ใคร่อ่านก็อยากให้อ่านค่ะ XD


กรรมการ 1: อ่า..ไหนลองแนะนำตัวหน่อย เป็นใครมาจากไหน

ไอซ์: ชื่อ .... ชื่อเล่น ไอซ์ค่ะ มาจากโรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนเวนต์ ตอนนี้เรียนจบแล้วค่ะ

กรรมการ 1: อ้อ เรียนจบแล้วหรอ อืม...ไหนลองบอกเหตุผลที่อยากเรียน APU มาหน่อย เอาคร่าวๆพอนะ

ไอซ์: /คิดในใจ โดนแล้วหนึ่งดอก (จ้องหน้ากรรมการ) ก็...(อธิบายเหตุผลอย่างที่เตรียมมา)

กรรมการ 1: อื้ม ดีๆ (เปิด Portfolio ไปด้วย) ไหนดูซิ... โอ้ มีพี่ชายด้วยหรอ เรียนอยู่จุฬาฯด้วยนี่นา

ไอซ์: อ่า ใช่ค่ะ /ยิ้มแห้ง

กรรมการ 1: ไหนๆ ก็มีพี่ชายเรียนอยู่จุฬาฯแล้ว ทำไมถึงไม่อยากเรียนจุฬาฯละ ทำไมถึงอยากเข้า APU แทน คุณก็รู้ใช่มั้ยว่า มหาวิทยาลัยที่พี่ชายคุณเรียน มันเป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงของไทย มีชื่อเสียงยิ่งกว่า APU ซะอีก คิดว่า APU เนี่ยจะมีสิ่งที่คุณจะได้มากกว่ามหาวิทยาลัยของพี่ชายคุณมั้ย

ไอซ์: *ช็อคเรียบร้อย* เอ่อ..ก็เพราะว่า เคยไปแลกเปลี่ยนมาค่ะ พอกลับมาที่ไทยก็มีความคิดที่อยากจะเรียนต่อต่างประเทศ แล้วตัวเราเองก็เป็นคนอยากเรียนแล้วก็ชอบภาษาด้วย... บลาๆ /ควักสกิลแถออกมาใช้

กรรมการ 1: โอ้ งั้นหรอๆ *พยักหน้า* ดีแล้วๆ ... แล้วคุณคิดว่า ถ้าคุณได้ทุนไปเรียนที่ญี่ปุ่นแล้วเนี่ย มีอะไรอยากจะเรียนเป็นพิเศษมั้ย แล้วพอคุณจบจาก APU แล้วเนี่ย คุณคิดว่าคุณจะได้ประสบการณ์อะไรเอาไปใช้ในการทำงานในอนาคต

ไอซ์: ก็ที่รู้มานะคะว่า ที่ APU เนี่ย ในปีนึงก็จะมีจัดกิจกรรมเยอะแยะมากมาย แล้วก็มีชมรมด้วย ก็อยากจะลองเข้าชมรมที่สนใจค่ะ ก็จะได้ทั้งเพื่อนญี่ปุ่น เพื่อนต่างชาติด้วย.. ฯลฯ

กรรมการ 1: *เปิดพอร์ตไปเรื่อยๆ* นี่เคยเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนด้วยหรอเนี่ย? ..เคยเรียนญี่ปุ่นด้วย!? *เสียงตกใจเล็กน้อย*

ไอซ์: *สะดุ้ง* ค่ะ เคยเรียนญี่ปุ่นกับเพื่อนอยู่ประมาณสองปี แล้วก็เคยไปแลกเปลี่ยนที่เดนมาร์กตอนม.5 ค่ะ

กรรมการ 1: /ทำตาโต น่าสนใจๆ ไหนลองพูด ญี่ปุ่นกับภาษา..เอ่อ ที่เดนมาร์กเขาใช้ภาษาอะไรน่ะ?

ไอซ์: แดนิช ค่ะ

กรรมการ 1: เอ้อๆ ไหนลองพูดเลย ทั้งสองภาษานะ

ไอซ์: (พูดญี่ปุ่นเสร็จ พูดแดนิชต่อ)  *ยิ้มสวย*

กรรมการ 1 , ผู้ช่วย: *ทำหน้างงสักพัก* เป็นภาษาที่ดูท่าทางยากเนอะ ฮ่าๆ /me หัวเราะตาม

กรรมการ 1: อืม... มาพูดถึงเรื่องคณะที่อยากเรียนดีกว่า APM ใช่มั้ยเนี่ย.. อยากเรียน Marketing .. ไหนลองบอกเหตุผลซิว่า ทำไมถึงอยากเรียนคณะนี้

ไอซ์: *เข้าสู่โหมดเครียด* (อธิบายเหตุผลที่อยากเรียน)

กรรมการ 1: แล้วถ้า..อืม คุณรู้ใช่มั้ยว่า ประเทศไทยเนี่ย ในสังคมมีช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนอยู่มากพอสมควร คุณคิดว่า จากสิ่งที่คุณจะได้เรียน คุณจะมีวิธีแก้ปัญหานี้ในสังคมไทยยังไงบ้าง

ไอซ์: *ช็อครอบสอง* เอ่อ...(นิ่งประมาณสามวิก่อนตอบ) *แถอะเกน 5555555*

กรรมการ 1: *ทำหน้างงกับคำตอบเล็กน้อย* อื้ม ถึงวิธีจะแปลกๆหน่อย แต่ก็น่าสนใจดีนะ ดีมากๆ

ไอซ์: /วิญญาณหลุดลอยออกจากร่างเรียบร้อย ...

กรรมการ 1: อ่า สัมภาษณ์จบแล้ว /ยื่นพอร์ตคืนให้ เหลือเวลาอีกประมาณ 3 นาที ไหน มีคำถามอะไรอยากจะถามมั้ย เกี่ยวกับอะไรก็ได้ที่ APU *ยิ้มแบบลุงๆ*

ไอซ์: ห้ะ? เสร็จแล้วหรอคะ? อ่า..งั้น เอ่อ อยากถามว่า ....

กรรมการ 1: (ตอบคำถามให้) หมดเวลาพอดีเลย ขอบคุณมากนะครับ หวังว่าจะได้เจอกันที่มหาวิทยาลัยนะครับ

ไอซ์: /ลุกจากเก้าอี้ อาริกาโตะโกะไซมัส /โค้ง *ยิ้ม*

กรรมการ 1, ผู้ช่วย: /รีบลุกขึ้นแล้วโค้งให้


พอออกจากห้องสัมภาษณ์แบบเบลอๆ 5555555 แม่ก็ถามว่าเป็นไงบ้าง เราก็บอกไปว่า คิดว่าโอเค พูดไม่ได้ติดขัดอะไร เวลาตอบก็ eye contact กับกรรมการตลอด พอถึงวันประกาศผล ไอ้เราก็รีบเช็ค ปรากฏว่า... ว่า... ว่า...! (จะตื่นเต้นเพื่อ?)

ได้ทุน 100% ค่ะ /เฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮ ตอนประกาศผลนี่กระโดดไปทั่วบ้านเลย ดีใจมากเลย ณ ตอนนั้น (แม้ว่าจะแอบมีดราม่าเล็กน้อยก็ตามที .__.)


*แฮ่กๆ* เหนื่อยมาก เขียนมาประมาณสามชั่วโมงแล้ว ใครอ่านจนมาถึงบรรทัดนี้ ถือว่าท่านมีความอดทนอย่างยิ่ง ก็ต้องขออภัยล่วงหน้าที่อาจเขียนข้อมูลบางอย่างไม่ละเอียดพอนะคะ (แก่แล้วค่ะ 555 ความจำเลอะเลือนเล็กน้อย XD)





ต่อไปจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไรต้องติดตามนะคะ


แล้วเจอกันค่ะ! またね!ヾ(*'▽'*)ノ


ช่องทางการติดต่อ. (อาจจะไม่ได้ตอบเร็ว แต่ จะพยายามตอบหมดนะคะ)
E-mail: iceice.f@gmail.com


2015-10-31

Chapter 1: ทุนนี้ท่านได้แต่ใดมา (2)


สวีดัด สวัสดีค่ะ ทุกคน :) ไอซ์เองค่ะ (จะมีใครจำได้อยู่มั้ย 555555)


ไม่ได้มาเขียนบล็อกนานมากตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา... (ต้องขอโทษจากใจจริงฝุดๆ /โค้ง) เพราะหลังจากที่เขียนบล็อกคราวนั้นไป กลับญี่ปุ่นก็ยุ่งเรื่องเรียน เรื่องนู่นนี่เต็มไปหมด กลายเป็นว่าไม่มีเวลาที่จะเขียนเลยจริงๆ


หลังจากที่เขียนบล็อกตอนแรกไปก็มีคนส่งเมลเข้ามาสอบถามบ้าง ต้องขอบคุณจริงๆ ค่ะที่มีน้องๆ สนใจเกี่ยวกับมหาวิทยาลัยนี้ รวมถึงการเรียนต่อนอกกันมากขึ้น XD


ก็... อย่างที่เคยเกริ่นไว้ตอนท้ายบทความก่อนหน้านี้ว่า ต่อไปจะมาพูดถึงว่า ทำไมไอซ์ถึงมาสมัครทุนของ APU ทำไมถึงอยากเรียนที่ญี่ปุ่น ฯลฯ


เริ่มเลยดีกว่า... (คำเตือน: ยาวปานกลางถึงมากสุดๆ)


ค่ะ... เรื่องทุกอย่างเริ่มขึ้นหลังจากที่กลับมาจากไปแลกเปลี่ยนมา (เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนโครงการ AFS ประเทศเดนมาร์กค่ะ) คือ เราไปแลกเปลี่ยนตอนม.5 แล้วกลับมาเรียนต่อม.6 และด้วยความที่ว่า เด็กนักเรียนเมื่อขึ้นม.6 ก็ต้องมานั่งคิด (หรือคิดมานานแล้ว) ว่า จะเรียนต่อมหาวิทยาลัยไหนดี ต้องสอบอะไรบ้าง บลาๆ เรียนพิเศษกันหัวฟูแหลกลานสุดๆ ซึ่งเราก็เป็นจำพวกที่กล่าวมาทั้งหมดเลย 555555 ในตอนนั้น ใจเราอยากเรียนคณะอักษรศาสตร์มากๆ เพราะเพิ่งกลับมาจากแลกเปลี่ยนด้วยแหละ มันเลยทำให้ความอยากรู้ภาษาเพิ่มขึ้นไปอีก ก็ไปคุยกับพ่อแม่ดู


ปรากฏว่า พ่อแม่ไม่อนุมัติให้เรียนค่ะ เซ็งมาก...โดยเหตุผลก็เหมือนที่หลายคนโดนเมื่ออยากเรียนคณะที่อยากเรียนว่า


'เรียนคณะนี้ โตไปแล้วจะไปทำงานอะไร?'


พอโดนบ่นมากๆ ก็ โอเค ไม่เรียนก็ได้วะ 5555 ในใจพ่อแม่อยากให้เราเรียนบัญชี ไม่ก็เศรษฐศาสตร์ พวก ฺBBA EBA อะไรอย่างงี้ ส่วนมหาวิทยาลัยอะไรนั้น...ก็ไม่ได้ที่ไหนไกลเลย จุฬาฯกับธรรมศาสตร์ เราก็ เออออน่ะ  เรียนไปก็มีงานทำแค่นี้ก็พอ จากนั้นเราก็เตรียมตัวอ่านหนังสือเตรียมสอบเลยค่ะ ก็อย่างที่ทุกคนรู้ว่า เดี๋ยวนี้เด็กนักเรียนเริ่มสนใจเรียนคณะพวกนี้กันมากขึ้น การแข่งขันเลยสูงมากๆ ไอ้เราที่เพิ่งกลับมาจากแลกเปลี่ยนก็งอกง่อยสุดๆ ความรู้อะไรก็ไม่ค่อยจะมีเลยต้องฟิตหน่อย ทั้ง CU-TEP CU-AAT และอีกมากมาย แม่ก็ส่งให้ไปเรียนพิเศษตอนเย็นเพิ่มอีกเพื่อเอาไว้ใช้สอบ ซึ่งเราเนี่ย ชีวิตการเป็นนักเรียนของเรา ไม่ค่อยได้เรียนพิเศษเลย ส่วนใหญ่ถ้าเรียนก็จะเรียนพวกภาษาเพิ่มเติมมากกว่า วิชาการไม่ค่อยได้เรียน


แต่... เรื่องมันไม่ได้จบแค่นั้นนี่สิ ปีนั้น (2013/2556) ธรรมศาสตร์เปิดสอนคณะนิติฯ ภาคอินเตอร์เป็นปีแรก! แม่เราก็แบบชวนให้เราไปลองสอบ... ซึ่งตัวเราเองเนี่ย ไม่ได้อยากเรียนนิติเลยค่ะ บอกตรงๆว่าไม่ชอบเลย เราก็บอกพ่อกับแม่ว่า ไอซ์ไม่ได้อยากเรียนนิตินะ จะให้สอบทำไม เถียงกันไปเถียงกันมา(ด้วยน้ำตา) สุดท้าย...ก็ต้องไปสอบอยู่ดี (ชีวิตเศร้าจริงจัง) หลังจากยอมแพ้เรียบร้อย เราก็บอกแม่ว่าจะไปสอบให้ แต่ก็บอกอีก ถ้าไม่ติดก็อย่าว่า เพราะไม่ได้อยากเรียนคณะนี้อยู่แล้ว


(บทสนทนาระหว่างแม่และไอซ์)


ไอซ์: แม่ ไอซ์ไม่ได้อยากเรียนคณะนี้นะ เคยบอกไปแล้วหลายรอบ

แม่: เอาน่ะ ลองไปสอบดู เผื่อได้ เปิดปีแรกด้วยนะ เรียนภาษาอังกฤษนี่ไง ชอบภาษาไม่ใช่หรอ?

ไอซ์: (คิดหนัก.. ชอบภาษาแต่ไม่ได้ชอบกฎหมายนี่หว่า) แต่...

แม่: *พูดโยงเหตุผลร้อยแปดพันเก้าเพื่อให้ไปสอบ*

ไอซ์: (ขี้เกียจจะเถียง) ก็ได้ แต่ไม่ติดอย่าว่าละกัน

แม่: รู้แล้วๆ


หลังจากนั้นไม่นานก็ประกาศผลสอบข้อเขียนมา แต่เราก็ไม่ติด เราก็รู้อยู่แล้วแหละว่ายังไงก็ไม่ได้หรอก ไม่ได้มีหัวด้านกฎหมาย แต่เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิด คือ เราโดนพ่อด่าว่า ทำไมไม่ตั้งใจสอบให้ติด ตอนนั้นเราแบบ... เอ้า ก็บอกไปแล้วว่าไม่ได้อยากเรียน จะคาดคั้นอะไรกันอีก ซึ่งก็จบเรื่องด้วยน้ำตากันอีกหน 555555 แล้วยังไม่ทันไรก็มีสอบ CU-TEP/AAT แล้ว ชีวิตตอนนั้นคือแบบ มายก้อชมากจริงๆ ทั้งการบ้าน สอบที่โรงเรียน กิจกรรมโรงเรียน เรียนพิเศษ อะไรก็ไม่รู้ ชีวิตหัวหมุนและมรสุมชีวิตสุดๆ


และในช่วงระยะเวลาการสอบนี่แหละ ทำให้เราได้รู้จัก APU ด้วยเหตุที่ว่า มีเพื่อนในห้องจะส่งใบสมัคร! เราก็แบบ เฮ้ย สนใจอ่ะ อยากไปเรียนต่อเมืองนอกเหมือนกัน (ตอนนั้นเริ่มท้อกับการสอบที่ไทย+อารมณ์ไม่อยากเรียนมหาวิทยาลัยที่ไทยก็เพิ่มมากขึ้น) ก็เลยถามๆรายละเอียดเพื่อนมาเล็กน้อยเอามาบอกพ่อแม่ ซึ่งก็เข้าอีหรอบเดิม...โดยแม่บอกว่า

'สอบที่ไทยให้รอดก่อน ค่อยคิดเรื่องไปเรียนเมืองนอก'

อารมณ์ตอนนั้นเราแบบ เฮ้ย ไรวะเนี่ย สนับสนุนลูกหน่อยได้มั้ย อยากไปเรียนจริงๆ 55555 แล้วตอนนั้นช่วงมรสุมชีวิตที่หนักมากๆของเราก็เกิดขึ้นค่ะ... เราเกิดอาการเครียดหนักขึ้นมาเพราะเหตุที่ว่ามันถึงช่วงที่ต้องยื่นเอกสารแล้ว แต่เราสอบ CU-TEP/AAT มาหลายรอบ คะแนนไม่ถึงเกณฑ์สักที TU-GET ก็สอบ(อันนี้ไม่มีปัญหา เพราะผ่านแล้ว) SAT ก็ไปสอบ จนถึงครั้งสุดท้ายของการสอบ เป็นเหตุการณ์ที่เราจำได้ขึ้นใจไม่เคยลืม วันประกาศผลตอนนั้นเป็นวันกีฬาสีของโรงเรียนเราค่ะ ในตอนที่สอบตอนนั้น เราคิดว่าเราทำได้อยู่ในเกณฑ์ที่โอเคอยู่ มีลุ้นว่าจะผ่าน อย่างที่ทุกคนรู้ว่า เกณฑ์ในการยื่นคะแนนของจุฬาฯ ส่วนใหญ่จะใช่ CU-TEP 80 คะแนน (ไม่รู้ตอนนี้เปลี่ยนหรือยัง) ก็...หลังจากที่มีกิจกรรมของเด็กม.6 ที่จะจบในปีนั้น (ซึ่งก็คือรุ่นเราเอง) เราก็กลับมาที่ห้องเรียน โทรหาแม่เพื่อถามเรื่องผลคะแนน ซึ่งผลก็...


เราไม่ผ่านค่ะ... ขาดไปอีก 2 คะแนน


ตอนนั้นเรานี่ทรุดไปแล้ว ร้องไห้โฮอยู่หน้าห้องจนเพื่อนตกใจหันมามองกันเต็มไปหมด ชีวิตตอนนั้น เรารู้สึกว่า ไม่รู้จะทำยังไงแล้ว เพราะว่าพยายามมาตลอดแต่สุดท้ายก็ไม่ได้ตามที่หวัง กลับมาที่บ้าน ทั้งพ่อแม่พี่ชายก็มาช่วยปลอบใจ จากนั้น แม่ก็เลยตัดสินใจบอกว่า 'งั้นลองสมัคร APU ดูละกัน' และหลังจากมรสุมลูกเก่าผ่านไป มรสุมลูกใหม่ที่ชื่อ APU ก็มาค่ะ 55555

(คำถาม: ยื่นจุฬาฯไม่ติด แล้วทำไมไม่ยื่นธรรมศาสตร์

ตอบ: ตอนแรกก็จะยื่นค่ะ แต่กลายเป็นว่าต้องมีสอบวัดระดับภาษาเพิ่มด้วย ซึ่งตอนนั้นด้วยอารมณ์ที่เฟลและขี้เกียจไปสอบอะไรอีกแล้ว ก็เลยตัดปัญหาโดยการไปยื่น APU เลย ไม่สนใจอย่างอื่นแล้ว 555555)


ตอนนั้นที่ตัดสินใจจะส่งใบสมัครของ APU ตอนนั้นใกล้จะถึงวันหมดเขตส่งแล้วค่ะ อีกประมาณสองอาทิตย์กว่าๆเอง ช่วงนั้น ทั้งแม่และเราแทบจะไม่ได้นอนเลย(ตีสอง ตีสามแทบทุกคืน) เพราะต้องมีเขียน Essay รวมถึงสอบภาษาที่จะใช้ยื่นสมัคร (พวก TOEIC TOEFL IELTS) และเอกสารจิปาถะอีกมากมายเต็มไปหมด แล้วที่โรงเรียน เราก็ต้องอ่านหนังสือสอบปลายภาคด้วย (ม.6 จะสอบเร็วกว่าปกติเพื่อให้นักเรียนอ่านหนังสือเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย) ซึ่งเราก็ไปสอบด้วยสภาพที่เหมือนซอมบี้เดินดิน 555555


หลังจากเรื่องโรงเรียนจบ แต่เรื่อง APU ยังไม่จบค่ะ เรื่องการสอบวัดระดับภาษา คะแนนที่ยื่นจะต้องตามเกณฑ์ตามที่มหาวิทยาลัยกำหนด ซึ่งเราเลือกสอบ TOEIC ค่ะ (เพราะมันง่ายสุด 555) และโชคดีที่ทางออฟฟิศของ APU ที่ไทย ขยายเวลาการส่งเอกสาร (เฉพาะคะแนนวัดระดับภาษา) เราเลยยังมีเวลาที่จะไปสอบ ปิดเทอมช่วงแรกๆ เราเลยทุ่มให้กับการสอบ TOEIC มากๆ โดยเราสอบไปทั้งหมด 2 ครั้งค่ะ ครั้งแรกไม่ผ่านเพราะทำข้อสอบไม่ทัน ส่วนครั้งที่สองก็ผ่านด้วยคะแนนที่ไม่หรูหรามาก (เอาแค่ผ่านเกินเกณฑ์ก็พอ แต่เปิดซองผลสอบมาแทบกริ๊ดเพราะผ่านสักที 5555555) จากนั้น เราก็ไปยื่นคะแนนให้ที่ออฟฟิศเลย จากนั้นไม่นาน ทางออฟฟิศ APU ก็ประกาศวันสัมภาษณ์ค่ะ...

...

...

(ฉับ)




ขอตัดจบแต่เพียงเท่านี้ก่อน (แฮ่!) พาร์ทสาม จะได้พูดถึงเอกสารที่ต้องยื่น การเตรียมตัวสัมภาษณ์ (ฉบับไอซ์) การสัมภาษณ์(แบบงงๆ) และการประกาศผลกันค่ะ... จะไปแบบเจาะลึกกันเล้ยยย







แล้วเจอกันค่ะ! またね!ヾ(*'▽'*)ノ


ช่องทางการติดต่อ. (อาจจะไม่ได้ตอบเร็ว แต่ จะตอบหมดค่ะ)
E-mail: iceice.f@gmail.com
(เฟสบุคกับทวิตเตอร์ขอหลังไมค์นะคะ :D)


2015-02-23

PROLOGUE: ทุนนี้ท่านได้แต่ใดมา? (1)

สวัสดีค่ะ ทุกคน : )


ก่อนอื่นต้องแนะนำตัวกันก่อนเนอะ...


เจ้าของบล็อคชื่อ ไอซ์ ค่ะ อายุปีนี้ก็จะ 20 แล้ว ตอนนี้เรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัย Ritsumeikan Asia Pacific University หรือที่เราเรียกกันสั้นๆว่า APU นั่นแหละค่ะ


ที่จริงแล้วบล็อคนี้ตั้งใจจะเขียนตั้งแต่ได้ทุน แต่ว่าติดเรื่องอะไรหลายๆอย่างจนตอนนี้จบเทอมแรกเรียบร้อยแล้ว กลับไทยมาว่างๆ เลยขอเขียนสักหน่อยละกัน (หัวเราะ)


เนื้อหาสาระของบล็อคนี้ก็ไม่มีอะไรมากค่ะ ก็เกี่ยวกับมหาวิทยาลัยนี้เนี่ยแหละเนอะ เล่าเท่าที่รู้ อันไหนเราไม่รู้ก็ไม่เล่า ฮ่าๆ ตามจริงแล้วรู้สึกเดี๋ยวนี้นักเรียนไทยเริ่มที่จะสนใจที่จะเรียนต่อเมืองนอกกันมากขึ้น ไม่ใช่เราคิดว่า มหาวิทยาลัยที่ไทยนั้นไม่ดี แต่การเรียนต่อเมืองนอกก็เหมือนเป็นการเปิดโอกาส เปิดโลกทัศน์ ทัศนคติของตัวเองมากยิ่งขึ้น ไม่ใช่เพียงฟังแต่คำบอกเล่าของคนอื่นที่เล่าๆต่อกันมาว่า ดีอย่างนั้น ดีอย่างนี้ ก็เหมือนคำกล่าวที่ว่า สิบปากว่า ไม่เท่าตาเห็น ไม่ได้สัมผัสเอง ไม่มีทางรู้แน่ๆ :)


เรื่องแรกๆก็คงหนีไม่พ้นเรื่องที่ว่า มหาวิทยาลัยนี้เป็นมหาวิทยาลัยแบบไหน แล้วไอซ์ได้ทุนนี้มาได้ยังไง จะขอเล่าให้ฟังเลยดีกว่า (อาจจะยาวเล็กน้อยหรือต่ออีกตอน)


เริ่มมาก็ต้องมาแนะนำมหาวิทยาลัยกันก่อน
( หมายเหตุ: ข้อมูลบางส่วนนำมาจากเว็บไซต์มหาวิทยาลัยโดยตรง จิ้มเข้าหน้าเว็บ )


Q: What is APU? Where is it located?

A: ผู้ใหญ่หรือนักเรียนบางคนมักสงสัยและไม่เคยได้ยินชื่อมหาวิทยาลัยนี้มาก่อนแน่ๆ เพราะมหาวิทยาลัยนี้เปิดเมื่อปี 2000 ค่ะ เปิดมาประมาณสิบกว่าปี และมหาวิทยาลัยนี้ก็คล้ายกับเป็นวิทยาเขตของมหาวิทยาลัยใหญ่ (Ritsumeikan University) ที่ตั้งอยู่ที่เกียวโต
ความแปลกใหม่ที่มหาวิทยาลัยนี้ที่แตกต่างจากมหาวิทยาลัยอื่นก็คือ นักศึกษาที่นี่มีนักศึกษาต่างชาติและนักศึกษาญี่ปุ่น จำนวนครึ่งต่อครึ่งเลยทีเดียว (ประมาณเอา) นักศึกษาจากต่างชาติก็มาจาก 100 กว่าประเทศทั่วโลกเลยทีเดียว ซึ่งส่วนใหญ่ก็มาจากประเทศในเอเชียด้วยกันนี่แหละ ทั้งเวียดนาม อินโดนิเซีย จีน เกาหลี ฯลฯ แล้วก็มีจากยุโรป อเมริกาด้วย

มหาวิทยาลัยนี้ตั้งอยู่บนเขา... ค่ะ อ่านไม่ผิดหรอก ตั้งอยู่บนเขา เป็นมหาวิทยาลัยที่อยู่ในเกาะทางใต้ของประเทศญี่ปุ่น (เกาะคิวชู) อยู่ที่เมืองเบปปุ (ฺBeppu) จังหวัดโออิตะ (Oita) ห่างจากเมืองใหญ่ฟุคุโอกะ (นั่งรถไฟหรือบัส) ประมาณ 2 ชั่วโมง คนที่มาเที่ยวหรือชื่นชอบประเทศนี้ก็จะรู้ว่า เมืองเบปปุเนี่ยจะมีชื่อเสียงในเรื่องออนเซ็นมากๆ มองจากมหาวิทยาลัยลงไปบางทีก็จะควันขาวๆ ลอยขึ้นมาเป็นหย่อมๆ ดูๆ แล้วก็เพลินตาดี :)




เบปปุเป็นเมืองเล็กๆและเงียบสงบ จะว่าเป็นเมืองผู้สูงอายุด้วยก็ได้  (เพราะรู้สึกเมืองนี้คนวัยชราจะเยอะเกินคาด 55555)  ความวุ่นวายที่เรามักจะเห็นอย่างเมืองใหญ่ๆ จะไม่ค่อยได้เห็นกันค่ะ เมืองนี้เขาอยู่กันอย่างสงบ


Q: มหาวิทยาลัยนี้ดีอย่างไร

A: ในความคิดของไอซ์ คิดว่ามหาวิทยาลัยนี้อาจเทียบไม่ได้กับมหาวิทยาลัยที่เด่นดังในประเทศญี่ปุ่น แต่สิ่งหนึ่งเลยที่จะได้จากมหาวิทยาลัยนี้นั่นก็คือ คุณจะได้เพื่อนจากหลายประเทศโดยที่ไม่คาดคิดเลย จากในเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยบอกไว้ว่า "The APU campus is a truly multicultural and multilingual environment with nearly half of the student population made up of international students from around the world and an equally diverse faculty." จะเห็นว่าสภาพแวดล้อมในมหาวิทยาลัยนี้ไม่ได้มีเฉพาะแค่คนญี่ปุ่น แต่จากหลายเชื้อชาติเลย เราจะไม่ได้แต่ภาษาญี่ปุ่น อาจจะได้ทั้งภาษาเวียดนาม จีน เกาหลี หรือมากกว่านั้น จากเพื่อนๆของเรา เหมือนเป็นที่ที่รวมหลากภาษาหลากเชื้อชาติเอาไว้ในที่เดียวเลยล่ะ ใครที่อยากเรียนภาษาเพิ่ม ไม่ผิดหวังเลยค่ะ 5555555

นอกจากจะได้เรียนรู้ภาษาแล้ว เรายังได้รู้วัฒนธรรมแปลกใหม่ที่เราไม่เคยได้รู้ได้เห็นกันจริงๆด้วย เพราะที่มหาวิทยาลัยนี้ มีการจัดกิจกรรมที่เรียกว่า Multicultural Week ในแต่ละเทอมอีกด้วย ซึ่งจะแบ่งออกจัดกิจกรรมนี้ออกเป็นสองเทอม (เทอม Spring / Fall) ด้วยกันค่ะ แต่ละประเทศที่จัดกิจกรรมนี้ในหนึ่งอาทิตย์ก็จะมีกิจกรรมย่อยแตกต่างกันออกไปค่ะและวันศุกร์ก็จะมีการจัด Grand show หรือการแสดงใหญ่ในหอประชุมด้วย อย่างประเทศไทยของเราหรือ Thai week ก็จะจัดในเทอม Spring ซึ่งแต่ละปีก็อลังการงานสร้างสุดๆ (ขอคอนเฟิร์ม เพราะดูมาหมดแล้ว)



(ถ่ายกับเพื่อนเวียดนาม อินโดนิเซีย)


Q: การเรียนของที่นี่เป็นยังไงบ้าง

A: มหาวิทยาลัยนี้มีตั้งแต่ปริญญาตรีจนถึงเอกค่ะ (ใครเรียนจบตรีจะต่อที่นี่ก็ได้) สำหรับปริญญาตรีมีทั้งหมด 2 คณะ คือ APM (College of International Management) และ APS (College of Asia Pacific Studies) หรือเรียกสั้นๆว่า M กับ S 
  • APM เป็นคณะเกี่ยวกับบริหารค่ะ มี Major ให้เลือกทั้งหมด 4 ด้านด้วยกัน ก็คือ บัญชี (Accounting and Finance) การตลาด (Marketing) เศรษฐศาสตร์ (Innovation and Economic) และการบริหารจัดการ (Strategic Management and Organization) 
  • APS ก็มี Major ให้เลือกทั้งหมด 4 ด้านเหมือนกัน คือ สิ่งแวดล้อม (Environment and Development) การท่องเที่ยว (Hospitality and Tourism) ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (International Relations and Peace studies; IR) วัฒนธรรมและสังคม (Culture, Society and Media)
ปล. ใครสนใจเรียนด้านไหนก็เลือก Major นั้นได้ในตอนขึ้นปีสองค่ะ (ตอนนี้ไอซ์ก็เรียนอยู่ APM)
(รายละเอียดเกี่ยวกับคณะก็อ่านเพิ่มเติมได้ ที่นี่เลย จิ้มเลยจ้า )

ในความคิดของไอซ์แล้ว ถ้าเทียบกับมหาวิทยาลัยที่ไทยถือว่าสบายกว่านะ หนึ่งเทอมเรียนประมาณสี่เดือน ในหนึ่งเทอมแบ่งเป็นสองควอเตอร์ (Quarter) ในหนึ่งวันมีหกคาบเรียน  (Period) คาบละประมาณชั่วโมงครึ่ง คาบแรกเริ่ม 8.45 ช่วงต่อระหว่างคาบมีเวลาพัก 15 นาที ซึ่งในแต่ละวันก็จะเรียนเวลาที่ต่างๆกันไปตามวิชาที่เราลงเรียน (ไม่ได้เรียนทุกคาบ)
มหาวิทยาลัยนี้จะมีภาษาที่ใช้ในการสอนสองภาษาก็คือ ญี่ปุ่น (Japanese-Based) และอังกฤษ (English-Based) นักเรียนต่างชาติส่วนใหญ่ก็จะเรียนเป็นภาษาอังกฤษกัน แต่ก็จะมีต่างชาติที่เรียนเป็นญี่ปุ่นด้วย

ในเรื่องของวิชาเรียนนั้น ถ้าเป็นนักเรียนต่างชาติที่เรียนเป็นภาษาอังกฤษ ทางมหาวิทยาลัยก็จะบังคับให้เรียนภาษาญี่ปุ่นในปีหนึ่งค่ะ (ทั้งสองเทอมเลย) ส่วนนักเรียนญี่ปุ่นก็จะเรียนอังกฤษ สำหรับนักเรียนปีหนึ่ง เทอมหนึ่ง ก่อนที่จะเปิดเทอมก็จะมีการสอบภาษาค่ะ (ถ้าเป็นนักเรียน APM ก็จะมีสอบเลขด้วย) เป็นการวัดระดับว่า เราจะได้เรียนอยู่ในระดับไหน เมื่อเปิดเทอมก็จะเรียนตามระดับที่เราสอบได้ แล้วก็จะมีวิชาเลือกที่เราสามารถเลือกเรียนตามความสนใจของเราได้ด้วย

เรียกได้ว่า ปีหนึ่งจะเน้นหนักไปในเรื่องของภาษาเป็นอย่างแรกเลย (มาอยู่บ้านเค้าก็ต้องเรียนภาษาบ้านเค้าแหละ) อาจจะเรียนหนัก แต่ถ้าพยายามก็ไม่เป็นปัญหาอย่างแน่นอน :)

ปล2. แนะนำให้เรียนภาษาญี่ปุ่นก่อนมาจะดีมากค่ะ อย่างน้อยให้รู้เรื่องอักษรฮิรากานะ คาตาคานะ คันจิง่ายๆ ก็ยังดี


Q: ชมรมละ มีบ้างมั้ย?
A: บอกเลยว่า ที่ APU มีชมรมน่าสนใจอยู่เยอะมากๆเลย เป็นชมรมที่นักเรียนที่นี่เป็นคนตั้งขึ้นมาเอง ทั้งเกี่ยวกับภาษา วัฒนธรรม ดนตรี กีฬา การแสดง หรือแม้แต่ชมรมอาสาก็มี เราสามารถเลือกเข้าได้ตามใจชอบเลย ส่วนใหญ่ถ้าเป็นชมรมเกี่ยวกับดนตรี กีฬาหรือการแสดง ก็จะมีวันเวลาซ้อมของแต่ละชมรมด้วย ส่วนตัวยังไม่ได้เข้าชมรมไหนในตอนนี้ เพราะภาษาญี่ปุ่นยังเงอะๆงะๆอยู่เลย (หัวเราะ)


Q: การเดินทางละสะดวกหรอ? อยู่กันยังไง?
A: จากที่บอกว่ามหาวิทยาลัยอยู่บนเขา หลายคนอาจจะคิดว่าเดินทางลำบาก ไม่สะดวก แต่ที่จริงแล้วมีรถบัสจากในเมืองเบปปุขับขึ้นมาถึงมหาวิทยาลัยเลย ใช้เวลาประมาณ 35-40 นาที เวลาลงไปซุปเปอร์มาร์เก็ตซื้อของอะไรต่างๆ หรือพักอยู่ในเมือง ก็มีให้นั่งได้ทุกวัน แต่ในช่วงฤดูหนาวที่หิมะตกหนักๆหรือเกิดเหตุการณ์ทางธรรมชาติอื่นๆ ก็จะมีหยุดวิ่งบ้างบางวัน

สำหรับนักเรียนปีหนึ่ง ทางมหาวิทยาลัยจะให้อยู่หอค่ะ (บางคนก็อยู่หอเทอมเดียวก็มี ด้วยสาเหตุที่ว่า อยู่เมืองสะดวกกว่าเยอะ ฮ่าๆ) ที่เรียกกันว่า AP House หรือเรียกกันสั้นๆว่า เฮาส์1 และ เฮาส์2 มีทั้งห้องเดียวและห้องแชร์ ...สำหรับห้องเดี่ยวห้องจะเล็กกว่าห้องแชร์แต่ก็จะมีห้องน้ำเล็ก อ่างล้างมือภายในตัวห้องค่ะ ส่วนห้องแชร์จะไม่มีก็เลยอาจจะไม่ค่อยสะดวกเท่าไร แต่ห้องแชร์มีข้อดี เราก็จะได้เพื่อนเร็ว ก็เพื่อนแชร์ห้องเนี่ยแหละ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นคนญี่ปุ่น ก็ได้ฝึกภาษาไปในตัว มีการบ้านอะไรก็ถามได้สะดวก

จากหอเดินไปมหาวิทยาลัย (Campus) ใช้เวลาประมาณ 10 นาที ก็ต้องกะเวลาไว้ล่วงหน้าด้วยแหละเวลาไปเรียน เพราะอย่างที่รู้ว่า คนญี่ปุ่นเข้มงวดเรื่องเวลานะจ้ะ พยายามอย่าไปเรียนสายเลย :)



(ถ่ายหน้า AP House 2 วันแรกที่มาถึงมหาวิทยาลัย :D)


(หอบ แฮกๆ...)

เอาละค่ะ จบแล้วสำหรับพาร์ทแรก (ดูชื่อไม่ได้เข้ากับเนื้อหาเลย 555555) หวังว่า ก็จะได้รู้อะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับ APU ไม่มากก็น้อยนะคะ พาร์ทสองก็มาดูกันว่า ไอซ์มารู้จักทุนนี้ได้ยังไง ทำไมถึงได้เลือกมาที่นี่ วุ่นวายเรื่องเอกสาร การสัมภาษณ์เป็นยังไง 

จะมาในไม่ช้านี้แน่ๆ :D

แล้วเจอกันค่ะ! またね!ヾ(*'▽'*)ノ


ช่องทางการติดต่อ. (อาจจะไม่ได้ตอบเร็ว แต่ จะตอบหมดค่ะ)
E-mail: iceice.f@gmail.com
(เฟสบุคกับทวิตเตอร์ขอหลังไมค์นะคะ :D)