2016-02-16

Chapter 1: ทุนนี้ท่านได้แต่ใดมา (จบ)



สวัสดีค่ะทุกคน กลับมาอีกครั้งหลังจากหายไปนานมากกกกกก (เพิ่ม ก ไก่อีกล้านตัว)


ตอนนี้ปิดเทอมแล้วก็กลับไทยมาเรียบร้อยค่ะ แหะๆ


จากตอนที่แล้ว (ที่ดูไม่ค่อยจะมีอะไรสักเท่าไร) อย่างที่บอกไปว่า ในตอนนี้จะพูดถึงการเตรียมเอกสารและการสอบสัมภาษณ์ ซึ่งการเตรียมเอกสารไอซ์ขออ้างอิงจากสิ่งที่ไอซ์ต้องทำนะคะ เพราะจากที่ลองไปดูในเว็บของAPU แล้ว ในเรื่องของเอกสารบางอย่างตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว

*** ปล. ข้อมูลบางอย่างจะขออ้างอิงจากตอนที่ไอซ์สมัครนะคะ บางอย่างอาจจะไม่เหมือนกันแล้วในตอนนี้ แต่จะวงเล็บไว้ให้ว่าตอนนี้เป็นยังไงบ้างแล้ว ***


เนื่องจากว่า ไอซ์สมัครรอบ FALL ฉะนั้นช่วงเวลาการส่งเอกสารก็จะอยู่ในช่วงเดือนกันยายนถึงมกราคมค่ะ (ในตอนนี้เพิ่มรอบการสมัครแล้วนะคะ มีทั้งหมด 2 รอบแล้ว)

เริ่มแรกจะพูดถึงเรื่อง Requirement จากที่มหาวิทยาลัยกำหนด ซึ่งมีดังนี้

1) เรื่องการศึกษา (Educational Qualifications)
  • ผู้สมัครจะต้องเรียนจบการศึกษาภาคบังคับ (12 ปี) หรือว่าจะเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ในปีที่สมัคร 
 2) การวัดระดับภาษา (Language Proficiency) สามารถเลือกสอบได้ 2 ภาษาค่ะ ก็คือ ภาษาญี่ปุ่น หรือ ภาษาอังกฤษ
  • ภาษาญี่ปุ่น: สามารถยื่นคะแนนโดยสอบ JLPT และ EJU (Examination for Japanese University Admission for International Students)
    • JLPT N1 90 คะแนนขึ้นไป
    • JLPT N2 100 คะแนนขึ้นไป
    • EJU 220 คะแนนขึ้นไป (ไม่รวม Writing)
  • ภาษาอังกฤษ: สามารถยื่นคะแนนโดยสอบ IELTS, TOEFL, TOEIC และ Eiken Test 
    • IELTS ได้ Total Result 5.5 ขึ้นไป
    • TOEFL iBT  61 คะแนนขึ้นไป (เพิ่ม) PBT 500 คะแนนขึ้นไป
    • TOEIC 700 คะแนนขึ้นไป
    • Eiken Test Grade pre-1
จาก Requirement 2 ข้อข้างบน ข้อแรกก็ผ่านอยู่แล้ว ส่วนข้อสองเนี่ย ไอซ์เลือกสอบ TOEIC ค่ะ เหตุผลที่เลือกสอบเพราะว่า ในความคิดไอซ์ ถ้าเทียบกับ IELTS และ TOEFL, TOEIC ง่ายที่สุดแล้ว /ฮาาาาาา (ถึงแม้จะง่ายแต่ก็สอบไปสองรอบถ้วน ;___;)   แต่ก็แล้วแต่ความชอบของแต่ละคนเนอะ ว่าอยากสอบอะไร

สำหรับคนที่กังวลว่า จำเป็นจะต้องได้คะแนนสูงๆมั้ย ส่งผลอะไรต่อการสอบสัมภาษณ์หรือเปล่า ขอบอกไว้ตรงนี้เลยว่า 'ไม่จำเป็นค่ะ' ขอให้คะแนนของคุณผ่านเกณฑ์ที่มหาวิทยาลัยกำหนดก็พอแล้ว หรือถ้าใครอยากได้คะแนนสูงๆไว้ก่อนก็แล้วแต่ค่ะ อันนี้อยู่ที่การตัดสินใจของแต่ละคน (ซึ่งคนที่ละซึ่งความพยายามอย่างเราแล้ว ขอแค่ผ่านก็พอค่ะ /ปาดน้ำตา)


ต่อไปจะพูดถึงเรื่องเอกสารที่ต้องส่งนะคะ ซึ่งมีดังนี้
(อ้างอิงจาก Admissions Handbook 2016)
  1. ใบสมัคร (Undergraduate Application Form)
  2. เรียงความ (Application Essay)
  3. แบบสอบถามเกี่ยวกับการพำนักอาศัย (Certificate of Eligibility)
  4. หลักฐานการจ่ายเงินค่าสมัคร (Proof of Application Fee Payment)
  5. ทรานสคริปต์ หรือ ผลสอบอื่นๆ (Academic Transcript)
  6. หลักฐานแสดงผลสอบวัดระดับภาษา (Document of Proving Japanese/English Proficiency)
  7. จดหมายแนะนำ (Letter of Recommendation)
  8. สำเนาพาสปอร์ต (Passport Copy)
  9. รูปถ่าย ขนาด 3x4 cm จำนวน 2 ใบ (Two Photographs size 3x4 cm)
  10. Checklist 
เอกสารเพิ่มเติม
  1. เรียงความขอทุน (APU Tuition Reduction Scholarship Application)
  2. กิจกรรมนอกเวลา/ชมรม (Extra Curricular Activities Report)
  3. หลักฐานแสดงการเข้าร่วมกิจกรรมจากข้อ 2 (Document(s) to prove Participation Extra Curricular Activities)
  4. ประกาศนียบัตรการได้ทุน (นอกเหนือจาก APU) (Certifications of Scholarships Received from other organizations)
** เอกสารก็สามารถดาวน์โหลดได้จาก เว็บของมหาวิทยาลัยได้เลย (ลิงค์: จิ้มเลยจ้ะ )
*** ในตอนนี้ เอกสารบางตัวก็สามารถส่งได้ทาง Online แล้ว แต่บางตัวก็ยังต้องส่งทางไปรษณีย์นะคะ รายละเอียดก็สามารถเช็กได้จาก Admissions Handbook
**** รายละเอียดอย่างละเอียดก็สามารถอ่านได้จาก Admissions Handbook เช่นเดียวกัน


ตอนนี้ เราก็จะมาเจาะรายเอียดของเอกสารกัน :) (จะพูดถึงแค่บางตัวนะคะ)
1) ใบสมัคร จะแบ่งออกเป็น 3 พาร์ท
  • 1: อันนี้กรอกตามที่เอกสารระบุไว้เลยค่ะ 
  • 2: ถ้าใครขอทุน ก็ให้ติ๊ก Yes ในช่อง Scholarship ไปนะคะ
  • 3: ประวัติการศึกษา ให้กรอกตามตัวอย่างเลยค่ะ
2) เรียงความ **
    (ตัวหนาและสีแดง 5555555) ตอนนี้เรียงความทั้งหมดที่ต้องเขียน มีทั้งหมด 4 ข้อ ข้อละ 100-150 คำ (เปลี่ยนจากตอนปี 2014 ตอนนั้นมีให้เขียนเรียงความแค่ 2 ข้อ แต่ข้อละ 500 คำ)
    การเขียนเรียงความ เป็นหนึ่งในสิ่งสำคัญของการขอทุนเลย เพราะฉะนั้นอยากให้เขียนกันให้ดี เขียนให้ตรงจุด พยายามอย่าเขียนเวิ่นเว้อ ออกทะเลมากเพราะจำนวนคำที่น้อยอยู่แล้ว ก็เขียนเนื้อเน้นๆไปเลย อย่าเขียนน้ำมากค่ะ

3) ทรานสคริปต์ / ผลสอบอื่นๆ
    ต้องเป็นทรานสคริปต์ของม.ปลายนะคะ (ม.4-6) ถ้ามีผลสอบอื่นอย่างเช่น SAT ก็สามารถใส่เพิ่มได้ (พวก CU-TEP, CU-AAT ฯลฯ ไม่เกี่ยวในหัวข้อนี้นะ)

4) หลักฐานแสดงผลสอบวัดระดับภาษา
    ต้องใช้ Official Result ที่เป็นตัวจริงเท่านั้น ไม่สามารถใช้ Copy ได้

5) จดหมายแนะนำ (+English Proficiency Evaluation)
    แนะนำให้คุณครูต่างชาติหรือคุณครูภาษาอังกฤษที่โรงเรียนเป็นคนเขียนเอกสารตัวนี้ให้นะคะ ถ้าจะให้ดีก็ประทับตราโรงเรียนด้วยก็ได้

6) รูปถ่าย
    จำนวน 2 ใบ ต้องเป็นขนาด 3x4 cm พื้นหลังสีขาว แล้วก็ต้องเขียนชื่อภาษาอังกฤษกับสัญชาติข้างหลังรูปถ่ายด้วย

7) เรียงความขอทุน **
    อันนี้ก็เป็นอีกหนึ่งเรียงความที่สำคัญในการขอทุนค่ะ เขียนประมาณ 150 คำ (เปลี่ยนจากปี 2014 ที่ต้องเขียนประมาณ 300 คำ) สำหรับคนที่ไม่ได้ขอทุนไม่ต้องใช้เอกสารตัวนี้นะคะ

8) กิจกรรมนอกเวลา/ชมรม (+หลักฐาน)
    สำหรับคนที่ทำกิจกรรม การแข่งขัน เคยเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนต่างประเทศ สามารถเขียนรายละเอียดได้ที่เอกสารตัวนี้เลย ตามหัวข้อที่ทางเอกสารแยกมาให้ รวมถึงการสอบ CU-TEP, CU-AAT สอบวัดระดับภาษาอื่นๆ ฯลฯ ก็สามารถกรอกได้เหมือนกัน
* สำหรับประกาศนียบัตรหรือเหรียญรางวัล สำหรับตรงนี้ใช้เป็นตัว Copy ได้ แต่สำหรับหลักฐานการสอบหรือใบรับรองต่างๆ ก็ยังคงต้องเป็นตัวจริงเหมือนเดิมค่ะ
** อย่าลืมเขียนตรงหัวกระดาษของหลักฐานตามลำดับที่เขียนในเอกสารนะคะ อย่างเช่น ประกาศนียบัตรจากการแข่งขันที่อยู่ในข้อ B-1 ก็เขียนไว้ที่มุมกระดาษของหลักฐานการแข่งขันด้วยว่า B-1 เป็นต้น


เอาล่ะ... ผ่านเรื่องที่ดูเครียดกันไปแล้ว ก็มาขอพูดถึงประสบการณ์หรือความทุกข์ระทมตั้งแต่ช่วงทำเอกสารซักนิดนึง

อย่างที่บอก(อีกแล้ว)ว่า เป็นการสมัครที่กะทันหันมากๆ ทุกอย่างจึงรวดเร็วไปหมดเลย จำได้เลยว่า มีอยู่อาทิตย์นึงที่ไปเรียนเหมือนไม่ได้เรียน นั่งเขียนเรียงความในคาบเรียน ทำเรื่องขอทรานสคริปต์ ถ่ายรูป ไปหาครูต่างชาติให้เขียน Letter of recommendation ให้ เตรียมตัวสอบ TOEIC ยุ่งทั้งอาทิตย์เลยทีเดียว

สิ่งที่เป็นปัญหาที่สุดคือ การเขียนเรียงความค่ะ สำหรับไอซ์ ถึงแม้ว่าจะชอบภาษาอังกฤษ ไปแลกเปลี่ยนมาก็แล้ว เรียนเสริมอังกฤษมาก็หลายปีแล้ว แต่การเขียนเป็นอะไรที่ไม่ใช่แนวมากๆ 5555555 เลยใช้เวลากับการเขียนเรียงความนานมากๆ เพราะมันต้องเขียนตั้ง 500 คำ 2 ข้อ เรียงความขอทุนอีก 300 คำ เบ็จเสร็จก็ประมาณ 1300 คำ อ้วกแตกเลยทีเดียว /ฮาาาา แม่ก็เลยให้บอกให้เราเอาเรียงความไปให้กับลูกพี่ลูกน้องเรากับรุ่นพี่คนนึงที่เก่งอังกฤษช่วยเกลาภาษาให้ ก็ช่วยกันเกลาช่วยกันแก้อยู่เกือบสิบรอบถึงจะโอเคแล้วเขียนลงใบสมัคร จำได้ว่า...ต้องนั่งเขียนเรียงความตั้งแต่สามทุ่มถึงตีสาม ตื่นหกโมงไปสอบปลายภาคที่โรงเรียน หนังสือนี่แทบไม่ได้อ่าน 55555 แต่ก็ผ่านมาได้ด้วยดี(มั้ง)
สำหรับการสัมภาษณ์ หลังจากที่ประกาศวันว่าจะสอบสัมภาษณ์เมื่อไรก็เตรียมตัวอยู่พอสมควร เพราะแม่ให้คำมั่นสัญญาว่า ถ้าผลออกมาไม่ได้ทุน 100% จะไม่ให้ไป 80% ก็ไม่ได้ ต้องได้ 100% เท่านั้น ไม่งั้นต้องไปสอบ GAT PAT...

ในใจไอซ์ตอนนั้นเนี่ย... ซวยแล้วกู

ไอซ์ก็คิดว่า ยังไงก็ต้องทำให้ดีที่สุด เพราะใจตอนนั้นลอยไปญี่ปุ่นเรียบร้อยแล้ว แม่ก็ช่วยโดยการลองหาข้อมูลจากในเน็ตว่า รุ่นพี่ที่เคยสอบ APU เขาเตรียมตัวกันยังไงบ้าง คำถามเป็นแนวไหน แล้วก็ลองสมมติสถานการณ์จริงตอนสัมภาษณ์ขึ้นมาให้ได้ลองซ้อมดู ถึงแม้ว่าเราจะเคยมีประสบการณ์สัมภาษณ์ตอนสอบไปแลกเปลี่ยน แต่เพราะการสัมภาษณ์นี้นั้น กรรมการจะสัมภาษณ์เราเป็นภาษาอังกฤษค่ะ ก็เลยแอบเครียดเล็กน้อย

แล้ววันสอบสัมภาษณ์ก็มาถึง...

จำได้เลยว่าสอบสัมภาษณ์วันอาทิตย์ เป็นคนที่ 4 ค่ะ สอบที่ห้อง Meeting room ที่โรงแรมแห่งหนึ่งแถวๆอโศก (จำชื่อโรงแรมไม่ได้แล้ว) บอกเลยว่า...ตื่นเต้นมากกกกกกกกกก แม่มาด้วย แม่ก็ตื่นเต้นไปด้วยเลย 55555555 อ้อ.. ไอซ์ทำ Portfolio ในการสอบสัมภาษณ์ด้วย แต่ก็ไม่ได้หรูหราอะไรมากมาย ห้องสัมภาษณ์แบ่งออกเป็นสองห้อง ก่อนเข้าห้องสัมภาษณ์ก็ไปลงชื่อกับพี่จากสำนักงาน APU Thailand แล้วก็เตรียมตัวกับแม่อีกรอบหนึ่ง จากแนวคำถามที่ได้มาก็ลองเขียนสิ่งที่จะตอบกับกรรมการไป แล้วก็จำๆ เข้าห้องสอบไปด้วยนิดหน่อย ไอซ์ไม่อยากจำเยอะเพราะ เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่า เราจะโดนกรรมการถามอะไรบ้าง แล้วก็การสัมภาษณ์จะใช้เวลาประมาณ 15 นาทีค่ะ

พอถึงเวลาคิวสัมภาษณ์ พอคนก่อนหน้าออกมา พี่ที่ดูแลก็บอกว่า ให้รอสัก 5 นาทีก่อนแล้วค่อยเคาะประตูเข้าไป พอครบ 5 นาทีปุ๊ปก็เคาะประตู เปิดประตูเข้าไป ก็เจอคนญี่ปุ่นทั้งสองคนเลย คนนึงดูมีอายุน่าจะเป็นกรรมการหลัก ส่วนอีกคนเหมือนเป็นผู้ช่วย พอนั่งลงปุ๊บก็ทักทายเขา เราก็ยื่น portfolio ไปให้ เขาก็เปิดๆดูนิดหน่อย เตรียมเอกสารสักพักนึง เขาก็ถามเราว่า เริ่มเลยมั้ย เราก็บอก โอเค

จากนี้คือสถานการณ์ที่เกิดขึ้นภายในห้องสัมภาษณ์... (เวอร์ชั่นแปลไทยเรียบร้อย)
ปล. ใครใคร่อ่านก็อ่าน ใครไม่ใคร่อ่านก็อยากให้อ่านค่ะ XD


กรรมการ 1: อ่า..ไหนลองแนะนำตัวหน่อย เป็นใครมาจากไหน

ไอซ์: ชื่อ .... ชื่อเล่น ไอซ์ค่ะ มาจากโรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนเวนต์ ตอนนี้เรียนจบแล้วค่ะ

กรรมการ 1: อ้อ เรียนจบแล้วหรอ อืม...ไหนลองบอกเหตุผลที่อยากเรียน APU มาหน่อย เอาคร่าวๆพอนะ

ไอซ์: /คิดในใจ โดนแล้วหนึ่งดอก (จ้องหน้ากรรมการ) ก็...(อธิบายเหตุผลอย่างที่เตรียมมา)

กรรมการ 1: อื้ม ดีๆ (เปิด Portfolio ไปด้วย) ไหนดูซิ... โอ้ มีพี่ชายด้วยหรอ เรียนอยู่จุฬาฯด้วยนี่นา

ไอซ์: อ่า ใช่ค่ะ /ยิ้มแห้ง

กรรมการ 1: ไหนๆ ก็มีพี่ชายเรียนอยู่จุฬาฯแล้ว ทำไมถึงไม่อยากเรียนจุฬาฯละ ทำไมถึงอยากเข้า APU แทน คุณก็รู้ใช่มั้ยว่า มหาวิทยาลัยที่พี่ชายคุณเรียน มันเป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงของไทย มีชื่อเสียงยิ่งกว่า APU ซะอีก คิดว่า APU เนี่ยจะมีสิ่งที่คุณจะได้มากกว่ามหาวิทยาลัยของพี่ชายคุณมั้ย

ไอซ์: *ช็อคเรียบร้อย* เอ่อ..ก็เพราะว่า เคยไปแลกเปลี่ยนมาค่ะ พอกลับมาที่ไทยก็มีความคิดที่อยากจะเรียนต่อต่างประเทศ แล้วตัวเราเองก็เป็นคนอยากเรียนแล้วก็ชอบภาษาด้วย... บลาๆ /ควักสกิลแถออกมาใช้

กรรมการ 1: โอ้ งั้นหรอๆ *พยักหน้า* ดีแล้วๆ ... แล้วคุณคิดว่า ถ้าคุณได้ทุนไปเรียนที่ญี่ปุ่นแล้วเนี่ย มีอะไรอยากจะเรียนเป็นพิเศษมั้ย แล้วพอคุณจบจาก APU แล้วเนี่ย คุณคิดว่าคุณจะได้ประสบการณ์อะไรเอาไปใช้ในการทำงานในอนาคต

ไอซ์: ก็ที่รู้มานะคะว่า ที่ APU เนี่ย ในปีนึงก็จะมีจัดกิจกรรมเยอะแยะมากมาย แล้วก็มีชมรมด้วย ก็อยากจะลองเข้าชมรมที่สนใจค่ะ ก็จะได้ทั้งเพื่อนญี่ปุ่น เพื่อนต่างชาติด้วย.. ฯลฯ

กรรมการ 1: *เปิดพอร์ตไปเรื่อยๆ* นี่เคยเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนด้วยหรอเนี่ย? ..เคยเรียนญี่ปุ่นด้วย!? *เสียงตกใจเล็กน้อย*

ไอซ์: *สะดุ้ง* ค่ะ เคยเรียนญี่ปุ่นกับเพื่อนอยู่ประมาณสองปี แล้วก็เคยไปแลกเปลี่ยนที่เดนมาร์กตอนม.5 ค่ะ

กรรมการ 1: /ทำตาโต น่าสนใจๆ ไหนลองพูด ญี่ปุ่นกับภาษา..เอ่อ ที่เดนมาร์กเขาใช้ภาษาอะไรน่ะ?

ไอซ์: แดนิช ค่ะ

กรรมการ 1: เอ้อๆ ไหนลองพูดเลย ทั้งสองภาษานะ

ไอซ์: (พูดญี่ปุ่นเสร็จ พูดแดนิชต่อ)  *ยิ้มสวย*

กรรมการ 1 , ผู้ช่วย: *ทำหน้างงสักพัก* เป็นภาษาที่ดูท่าทางยากเนอะ ฮ่าๆ /me หัวเราะตาม

กรรมการ 1: อืม... มาพูดถึงเรื่องคณะที่อยากเรียนดีกว่า APM ใช่มั้ยเนี่ย.. อยากเรียน Marketing .. ไหนลองบอกเหตุผลซิว่า ทำไมถึงอยากเรียนคณะนี้

ไอซ์: *เข้าสู่โหมดเครียด* (อธิบายเหตุผลที่อยากเรียน)

กรรมการ 1: แล้วถ้า..อืม คุณรู้ใช่มั้ยว่า ประเทศไทยเนี่ย ในสังคมมีช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนอยู่มากพอสมควร คุณคิดว่า จากสิ่งที่คุณจะได้เรียน คุณจะมีวิธีแก้ปัญหานี้ในสังคมไทยยังไงบ้าง

ไอซ์: *ช็อครอบสอง* เอ่อ...(นิ่งประมาณสามวิก่อนตอบ) *แถอะเกน 5555555*

กรรมการ 1: *ทำหน้างงกับคำตอบเล็กน้อย* อื้ม ถึงวิธีจะแปลกๆหน่อย แต่ก็น่าสนใจดีนะ ดีมากๆ

ไอซ์: /วิญญาณหลุดลอยออกจากร่างเรียบร้อย ...

กรรมการ 1: อ่า สัมภาษณ์จบแล้ว /ยื่นพอร์ตคืนให้ เหลือเวลาอีกประมาณ 3 นาที ไหน มีคำถามอะไรอยากจะถามมั้ย เกี่ยวกับอะไรก็ได้ที่ APU *ยิ้มแบบลุงๆ*

ไอซ์: ห้ะ? เสร็จแล้วหรอคะ? อ่า..งั้น เอ่อ อยากถามว่า ....

กรรมการ 1: (ตอบคำถามให้) หมดเวลาพอดีเลย ขอบคุณมากนะครับ หวังว่าจะได้เจอกันที่มหาวิทยาลัยนะครับ

ไอซ์: /ลุกจากเก้าอี้ อาริกาโตะโกะไซมัส /โค้ง *ยิ้ม*

กรรมการ 1, ผู้ช่วย: /รีบลุกขึ้นแล้วโค้งให้


พอออกจากห้องสัมภาษณ์แบบเบลอๆ 5555555 แม่ก็ถามว่าเป็นไงบ้าง เราก็บอกไปว่า คิดว่าโอเค พูดไม่ได้ติดขัดอะไร เวลาตอบก็ eye contact กับกรรมการตลอด พอถึงวันประกาศผล ไอ้เราก็รีบเช็ค ปรากฏว่า... ว่า... ว่า...! (จะตื่นเต้นเพื่อ?)

ได้ทุน 100% ค่ะ /เฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮ ตอนประกาศผลนี่กระโดดไปทั่วบ้านเลย ดีใจมากเลย ณ ตอนนั้น (แม้ว่าจะแอบมีดราม่าเล็กน้อยก็ตามที .__.)


*แฮ่กๆ* เหนื่อยมาก เขียนมาประมาณสามชั่วโมงแล้ว ใครอ่านจนมาถึงบรรทัดนี้ ถือว่าท่านมีความอดทนอย่างยิ่ง ก็ต้องขออภัยล่วงหน้าที่อาจเขียนข้อมูลบางอย่างไม่ละเอียดพอนะคะ (แก่แล้วค่ะ 555 ความจำเลอะเลือนเล็กน้อย XD)





ต่อไปจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไรต้องติดตามนะคะ


แล้วเจอกันค่ะ! またね!ヾ(*'▽'*)ノ


ช่องทางการติดต่อ. (อาจจะไม่ได้ตอบเร็ว แต่ จะพยายามตอบหมดนะคะ)
E-mail: iceice.f@gmail.com